วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขนาดนั้นสำคัญมากไหม!?!

   
     เนื่องจากบทความของวันก่อนผมได้เขียนเกี่ยวกับ วันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งถือเป็นวัน "นมแห่งชาติ" แล้วมันรู้สึกตะหงิดๆและกระตุก "ต่อมแห่งการเรียนรู้" ของผมซะเหลือเกิน มาวันนี้ผมจึงอยากจะทำอะไรที่มันเหมือนกับเป็นการระบายออกทางอารมส์ในแบบที่เป็นผมสักกะหน่อย

     ว่าแล้ววันนี้ผมจะมาเขียนถึงเรื่อง "หน้าอก" ดีกว่าครับ

     หน้าอกที่จะพูดถึงในที่นี้หมายถึง "นม" นั่นแหล่ะครับ แต่อยากจะบอกไว้ก่อนนะครับว่า ถึงจะพูดถึงหน้าอกซึ่งมันต้องชัวร์อยู่แล้วว่าเป็นหน้าอกผู้หญิง แต่ผมไม่ได้ทะลึ่งอะไรเลยจริงๆนะครับ

     เอ่อ....อาจจะทะลึ่งมั้งเล็กน้อย แต่มันก็เป็นมุมมองความจริงของผู้ชายที่มีต่อคุณผู้หญิงทั้งหลายนะครับ เพราะอย่างนั้น หากผู้อ่านท่านใดที่เป็นผู้หญิงไม่ "กระเดะ" จนเกินไป ผมคิดว่าบทความนี้จะไม่มีอะไรที่เรียกว่า "บัดซบ" แน่นอนครับ ฮ่าฮ่า

     โดยเฉพาะวันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่อง "ขนาดของหน้าอกและความมั่นใจของผู็หญิง"

     แต่....ขอไว้ซึ่งความเป็นตัวผมซึ่งนั่นก็คือเรื่อง "ทะลึ่ง" สักเล็กน้อยก็แล้วกันนะครับ

     ถ้าหากจะหากถึง "อวัยวะ" ที่ดึงดูดผู้ชายมากที่สุดในเรือนร่างของผู้หญิง ผมเชื่อว่าร้อยล่ะแปดสิบ ต้องบอกว่าเป็น "นม" (ในบทความนี้ผมขออณุญาติกล่าวถึงหน้าอกว่าเป็น นม นะครับ) อย่างแน่นอน

     มันเป็นอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ผมรู้ได้โดยแบบไม่ต้องไปถามพวก "กูรูและกูรู้" เลยสักนิด เพราะโดยสันดานผมเอง ผมก็เป็นคนแบบนั้น (อ้่าว...เฮ้ย)

     นมถือเป็นตัวแทนที่จะบ่งบอก "ความเป็นตัวตน" และ "แบ่งแยก" ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงออกด้วยกันอย่างสิ้นเชิงที่สุด เพราะแบบนั้นจึงถือว่า "นม" ถือเป็นตัวแสดงความเป็นผู้หญิงมากกว่าอวัยวะอื่นๆ

     อันที่จริงมีอวัยวะที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้ดีมากกว่า นม ด้วยซ้ำ แต่ "เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็น" ของคนปรกติทั่วไปเขาไม่ค่อย "อณุญาติ" ให้อวัยวะส่วนนั้นออกมาสูดอากาศภายนอกสักเท่าไหร่น่ะสิครับ ส่วนอีก "หนึ่งเปอร์เซ็น" ที่เหลือก็มักจะโชว์เฉพาะในแผ่น CD เท่านั้นน่ะซี่ ....ฮ่าฮ่า

     และเนื่องจากเป็นสิ่งที่บ่งบอก "ความเป็นผู้หญิง" มากที่สุดเพราะแบบนั้นมันจึงทำให้นมเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้ชาย (แท้) มากที่สุดด้วยเช่นกันนะครับ

     ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นแท้ๆ แต่ไหงสาวๆกับ "อาย" และ "ไม่ค่อยพอใจ" สักเท่าไหร่เวลาที่ถูกผู้ชายจ้องมองนมด้วยก็ไม่ทราบ เข้าใจครับว่าบางทีการจ้องมองที่ หน้าอก มากเกินไปแบบเอาเป็นเอาตาย มันจะส่อให้สาวๆมองเราว่าเป็นพวกชอบออก "กามลังกาย" ซึ่งถือเป็น "นิสัยที่โครตจะน่าเกลียด" ก็เป็นได้ แต่โปรดเข้าใจอีกเหมือนกันนะครับว่า การที่เรา "จ้องนม" นั้นถือเป็น "สัณชาตญาณ" ของผู้ชายทุกตัวมาตั้งแต่กำเนิด เพราะงั้นหากเราแค่จ้อง โดยที่ไม่ได้ส่อถึงอะไรมากมายในทางที่ผิด สาวๆก็คงไม่ต้องเขินอายอะไรกันมากมายหรอกคร๊า~~~บ

     เพราะสำหรับหนุ่มๆบางคนแค่ได้ "เหลือบมอง" นมคุณเท่านั้นก็พอแล้วล่ะครับ เพราะแบบนี้รึเปล่าผมก็ไม่ทราบนะครับ แต่ (ผมเดาเอาเองนะว่า) คนที่ไม่ชอบ "โชว์ของ" แต่งตัวมิดชิดเกินเหตุด้วยเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ดูทะเล่อทะล่า อาจจะทำให้เป็นเหมือนผู้หญิงที่ดูเสีย "บุคลิค" และดูกลายเป็นคน "ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง" ไปเลย

     และผู้หญิงที่เสียบุคลิคและไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองก็มักจะทำไรได้ "ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน" สักเท่าไำหร่นะครับ เคยลองสังเกตกันมั้งมั๊ยครับ?

     ผมไม่ได้เขียนเพราะอยากให้ผู้หญิงที่มาอ่านบทความนี้ได้อ่านแล้ว อยากจะเดิน "โชว์ของ" กันทั่วตลาดนะครับ (จริงๆก็อยาก) แต่แค่อยากจะบอกว่า "มั่นใจในตัวเอง" เถอะครับ แม่ให้มาเท่าไหร่คุณก็ต้องมั่นใจกับนมของคุณเอง ถึงชายทั่ว "สยามประเทศ" นี้จะดูกันให้ตายหรือจ้องกันจนตาแฉะยังไงก็ไม่มีวัน "หยิบ" นมคุณออกมาได้หรอกครับ

     ทางที่ดีควรจะหันมาคิดว่า ทำยังไงเหล่าผู้หญิงถึงจะโชว์ของในแบบไม่โป๊เกินไปดีกว่านะครับ

     ...................

     ทีนี้พอผู้หญิงกล้าโชว์ขึ้นมาหน่อยมันก็ยังมีปัญหาอีกข้อตามมาอยู่ดีนั่นแหล่ะครับ

     นั่นคือ ผู้หญิงที่มี "หน้าอกเล็ก" มักจะไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง ถึงจะโชว์ยังไงก็เสียเปรียบคนที่มี "ลูกของ" ใหญ่กว่าอยู่ดี

     กรุณาอย่าคิดแบบนั้นนะครับ ถึงพวกเราเหล่าผุ้ชายจะชอบผู้หญิงที่มีขนาดของนมที่เทียบเคียง "ลูกมะพร้าว" แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกคุณเหล่าผู้หญิงที่มีหน้าอกขนาดแค่ "ลูกมะนาว" จะไม่เป็นที่สนใจของพวกเรานะครับ


     คือ..นมขนาดไหนก็เอามาเถอะครับ   พวกเราผู้ชาย ดูหมดแหล่ะ ขนาดไหนก็ไม่เกี่ยง!?!

     ผมเคยมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่ "แอบรัก" รุ่นพี่สมัยเรียนด้วยกัน และทั้งๆที่หน่าตาเพื่อนผมคนนี้ก็จัดอยู่ในประเภท "เอานะ" แต่หล่อนกลับไม่กล้าเข้าไปคุยกับชายที่เธอหลงปลื้มซะอย่างนั้น

     โดยที่หล่อนให้เหตุผลกับผมว่า "ก็นมกรูมันไม่ใหญ่นี่หว่า!!??!!"

     แหม....อยากจะหัวเราะให้กับเพื่อนผมคนนี้ในข้อหา "ดูถูกตัวเอง" เกินความจำเป็นจริงๆเลยนะครับ

     ผมไม่รู้นะครับว่ามีผู้หญิงคนที่ที่มีความคิดว่า นมเล็กทำให้ตัวเองขาดความั่นใจ อยู่ในโลกนี้อีกรึเปล่า แต่ขอบอกตามตรงนะครับว่า สำหรับผมแล้ว เรื่องแบบนั้นมันไม่ได้เกียวกันเลยครับ ยิ่งถ้าเป็นสำหรับความรักแล้ว สุดท้ายคนเราไม่ได้มองกันที่นมนะครับ แต่มองอะไรที่มันอยู่ลึกลงไปกว่า นม ซึ่งมันอยู่ใต้ "นมด้านซ้าย" ของคุณ นั่นก็คือหัวใจครับ

     จริงอยู่ที่ว่า "การสร้างความประทับใจครั้งแรกในการพบเจอ" ถือเป็นสิ่งสำคัญในหลายๆเรื่องของชีวิตคุณและหน้าอกก็สามารถช่วยให้คุณสร้างประทับใจดีๆนั่นได้ในหลายๆเรื่อง แต่การที่คุณมีหน้าอกหน้าใจเล็กเกินไปจนไม่น่าให้อภัย มันไม่ได้ทำให้คุณดูด้อยไปกว่าคนที่มี "หน้าอกใหญ่ๆ" เลยนะครับ

     หากคุณกล้าแสดงออกและมีความมั่นใจ ต่อให้คุณจะมี "นมขนาดไหน" มันก็ไม่ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะมาขัดขวางคุณไม่ให้คุณประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็ตาม

     ในทางกลับกัน บางครั้งด้วยขนาด "นมที่ใหญ่จนเกินไป" ก็ไม่ได้หมายความสาวๆจะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้่นตามขนาดนะครับ ถ้าหากมันใหญ่เกินจนเป็นที่สะดุดตาแล้วล่ะก็ มันก็อาจจะสร้างความไม่มั่นใจให้กับ "เจ้าของ" เหมือนกันครับ

     ก็เวลาคุณจะทำอะไร จะคุยกับใคร จะไปทางไหนก็แล้วแต่ การมีหน้าอกใหญ่เกินความจำเป็นจะทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนรอบข้างได้ง่ายๆ ผู้ชายจะมองผู้หญิงหน้าอกใหญ่ในเชิง "ลามก" ส่วนผู้หญิงด้วยกันเองก็จะมองในเชิง "ซุบซิบนินทา" และ "วิภาควิจารณ์" ประมาณว่า "แมร่ง...อีนี่ทำนมมาชัวร์"

     เพราะแบบนั้นผมคิด (เอาเองอีกแล้ว) ว่าการมีนมในระดับที่ "พอดี" และ "สมส่วน" กับร่างกายของตัวเองจึงจะเป็นการดีที่สุด

     ไม่ใช่มีรูปร่าง "สูงใหญ่กำยำ" แต่มีนมราวกับ "ลูกละมุด" หรือว่า ตัวเล็กบอบบางแต่ดันมีนมเทียบเคียง "ลูกกมะพร้าว" ดั่งคำที่กล่าวไว้ว่า "หน้าตาเด็กประถมฯ แต่มีนมขนาดเด็กมหาลัยฯ"  แบบนั้นก็ไม่ไหวครับ

     แบบที่เป็น "ธรรมชาติ" แม่ให้มาที่สุดนั่นแหล่ะครับดีแล้ว เพราะถ้าหากวันหนึ่งสาวๆเกิดอยากจะมีขนาด "นม" ที่ใหญ่ขึ้นกว่าปรกติ พวกคุณก็สามารถใส่ "เสื้อผ้า" หรือ "ชุดชั้นใน" ที่มันช่วย "อัฟขนาดนม" เพื่อให้มันดูใหญ่ขึ้นมาได้เช่นกันครับ

     ส่วนสาวๆพวกที่อัฟขนาด "หลอกตา" ชาวบ้านชาวช่องเขาเป็นประจำทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว ทีนี้...สมมุติว่าพอถึงวันหนึ่งเกิดแฟนมาขอ "มีอะไร" กับเจ้าหล่อน ขอบอกไว้ ณ ตรงนี้เลยนะครับว่า อย่าไป "กังวล" หรือ "กลัว" หรอกนะครับ ว่าเวลาคุณ "ปลด" อาภรออกหมดแล้วและฝ่ายชายเห็น "ขนาดที่แท้จริง" ที่ปราศจากเครื่องทรงที่ช่วยอัฟขนาดต่างๆให้ นม ขยายขึ้น แล้วผู้ชายจะด่าหรือล้อเลียนคุณน่ะ

     เพราะถ้าถึงเวลานั้นจริงๆแล้วล่ะก็ เชื่อผมเห๊~~~อะ ....ร้อยทั้งร้อย ผู้ชายมันไม่จ้อง "นม" คุณหรอกคร๊า~~~บ ฮ่าฮ่า

    ฉะนั้นและฉะนี้โดยส่วนตัวผมเอง ผมจึงคิดว่า การที่มีหน้าอกขนาดเล็กเกินไปมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกครับ   ปัญหามันอยู่ที่ว่า เหล่าผู้หญิงทั้งหลายแหล่จะทำยังไงเพื่อให้ตัวเองไม่ "โป๊" จนเกินไปและไม่ "มิดชิด" จนดูตกยุคตกสมัยเหมือน "ยายเพิ๊ง"

    อย่างที่บอกตอนต้นบทความนั่นแหล่ะครับ.........หน้าอกถือเป็น "ตัวแทน" และบ่งบอกถึงความ"เป็นตัวตนของผู้หญิง" เพราะแบบนั้น การที่ผู้หญิงปกปิดมากเกินไป บางทีมันอาจจะหมายถึงการปกปิดความเป็นตัวตนของคุณด้วยเช่นกัน

     ในขณะที่หาก "เปิดเผยจนหมดเปลือก" ก็อาจจะทำให้คุณกลายเป็นผู้หญิงที่ดูไม่น่า "ค้นหา" สักเท่าไหร่

     หากคุณโชว์แล้วผู้ชายมันจะจ้องก็ปล่อยมันไปเถอะครับ  ถือซะว่า "ทำบุญ" เป็น "อาหารตา" ให้ผู้ชายไปก็แล้วกัน

     และเช่นเดียวกัน หากผู้หญิงท่านไหนที่มีแฟนที่ชอบจ้องอวัยวะที่เรียกกกันง่ายๆว่า "นม" ของผู้หญิงคนอื่น อย่างเพิ่งหึงและโมโหนะครับ

   

อย่างน้อยก็ขอให้คิดว่า "ดีกว่าปล่อยให้มันไปจ้องบั้นท้ายของหนุ่มๆคนอื่นก็แล้วกัน!?!"







วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาดื่มนมกันเถอะ


     
     นม นม นม แล้วก็ "นม" คงไม่มีผู้ชาย (หรือแม้กระทั่งผู้หญิง) คนไหนปฏิเสธว่า "ไม่ชอบดื่มนม" เพราะในความเป็นสันดานผู้ชายอย่างเราๆ มันฟ้องมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้วว่า "เราชอบดื่มนม"

     อย่าเถียงครับ เพราะตอนคุณเกิดคุณก็ได้ "นมแม่" ซึ่งถือเป็นอาหารที่ดีและมีโประโยชน์ที่สุดในโลก และด้วยเหตุผลนี้รึเปล่าผมก็มิอาจจะทราบได้ที่ทำให้พวกเราเหล่าผู้ชายทั้งหลายแหล่ "เสพติด" การดื่มนม?

     โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น "นมสดๆ ร้อนๆ" แล้วล่ะก็ กรุณาอย่าเถียงครับว่าคุณชอบที่จะ ดูด เอ้ย.....ดื่มมันเป็นอย่างยิ่ง ฮ่าฮ่า

     วันนี้ที่ผมมาเขียนถึงเรื่องนมๆมันก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ แต่เป็นเพราะว่าจะมีใครหน้าไหนสักกี่คนที่รู้ว่า วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมามันเป็นวัน "ดื่มนมโลก" (เห็นมั๊ยครับว่าการดื่มนมสำคัญขนาดมีการตั้งเป็นวันดื่มนมโลกกันเลยทีเดียวเชียว)

      ทุกๆวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปีจะเป็นวันที่ "องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ" หรือ "The Food and Agriculture Organization" (FAO) กำหนดให้เป็น วันดื่มนมโลก (World Milk Day) นั่นเป็นเพราะเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลก ไม่ว่าจะทั้งลูกเด็กเล็กแดง ผู้ชายผู้หญิง เห็น "ความสำคัญ" และ "คุณประโยชน์" ของนมสดๆ และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชานชนบนดาวดวงนี้รู้จักบริโภคนมพร้อมกันยังจะช่วยกันรณรงค์ให้ทุกๆคนรู้จัก ประโยชน์ที่แท้จริงของนมแต่ละชนิดด้วย


     จะว่าไปแล้วทุกวันนี้พวกเราหลายๆท่านก็ได้ทำการ บริโภคนมในหลายๆรูปแบบทั้ง "นมสด"  "นมที่ผ่านการพาสเจอร์ไรท์" หรือแม้กระทั่ง "นมจากเต้า" แต่มักจะมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่านอกจาก นมสดๆจากเต้า แล้วนมชนิดไหนมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่และเหมาะสมกับร่างกายและ "ทุนทรัพย์" ในกระเป๋าของเราที่สุด


    จากการสืบค้นข้อมูลของตัวผมเองทำให้รู้ได้ว่า นม ที่มีคุณประโยชน์ เหมาะสมกับคนทั่วไปและหาบริโภคได้ง่ายที่สุดมาจาก "โค" ซึ่งจากการวิจัยในห้องทดลองแถวๆ หมู่บ้านลำภูรา ตำบลหนองปรื่อ นั้น ได้ค้นพบว่านมโคสดแท้จะมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของธรรมชาติ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จากไขมัน โปรตีน และวิตามิน นอกจากนั้นร่างกายของคนเราสามารถย่อยสลาย "นมโค" แท้ๆได้ดีกว่านมผสม อีกทั้งนมโคแท้ที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรท์ ยังคงให้คุณค่าทางโภชนาการในด้าน วิตาบี 12 สูงกว่า ทั้งบางทีผู็ผลิตอาจจะผสม "วิตามินสังเคราะห์" ที่ไม่ได้มาจากวิตามินทางธรรมชาติ เพื่อที่จะช่วยเพื่อ วิตามินภายในนม 


     นมมีส่วนช่วยในเรื่อง "ความดันโลหิต" ช่วยในเรื่อง "กระดูกและฟัน" เพื่อเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และอีกทั้งยังมีประโยชน์อีกหลายๆอย่างมากมาย แถมทั้งนี้นมยังสามารถสร้าง "ความสดชื่น" ให้กับร่างกายได้ประดุจดั่ง "น้ำดื่ม"


     แหม....เรียกได้ว่าน้ำนมเองไม่ได้แตกแตกจากยารักษาโรคสักเท่าไหร่เลยนะครับ


     ด้วยเหตุผลที่กล่าวอ้างมาเหล่านี้จึงเรียกได้ว่า เราทุกคนที่ยืนอยู่บนพื้นพิภพนี้ควรจะบรรจุนมเพื่อบริโภคเข้าไปเป็นหนึ่งใน "อาหารหลัก" เพราะการดื่มนมหนึ่งถึงสองแก้วต่อวันสามารถคืนความสดชื่นให้กัับร่างกาย ซ้ำยังมีคุณประโยชน์หลายๆอย่างที่คนเราต้องการ


     อีกทั้งเรายังสามารถใช้นมให้เกิดประโยชน์โดยที่ไม่ต้องบริโภคก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ดยธรรมชาตินมมีคุณสมบัติในการเป็น "มอยสเจอไรเซอร์" จึงสามารถลดอาการคันของแมลงกัดได้ การผสม "นมกับน้ำเกลือ" และทาบริเวรที่มีอาการคันที่เกิดจากการถูกแมลงกัด จะสามารถช่วยบรรเทาอาการ และรอยด่างช้ำที่ได้จากการถูกกัดลงได้มาก


     หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง นมสามารถช่วยลบ "คราบหมึก" ได้เช่นกันเพราะโดยปรกติพื้นฐานของนมที่มีความข้นและครีมผสมอยู่จึงทำให้ช่วยลดคราบหมึดได้ดีกว่าน้ำ การที่เอาผ้าชุบ "น้ำมะนาวที่ผสมกับนมสด" แล้วไปเช็ดที่รอยคราบหมึก หลังจากทิ้งไว้ 1 วัน คราบหมึกจะจางหาย หรือลดลงไปได้


     จากการที่ตัวผมได้อธิบายมาทั้งหมดนั้น น่าจะคิดได้ว่า "นม" ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณประโยชน์ในหลายๆด้านเลยทีเดียว เพราะแบบนั้นการดื่มนมทุกวันจึงถือเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง


     เพราะอย่างน้อยๆที่สุด (สำหรับตัวผม)






นมนั้นไม่ได้ "ขม" และมีราคา "แพง" เหมือนเหล้าเลย..... เลิกเหล้าเถอะครับ ดื่มนมดีกว่า

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิสัย (สันดาน) ที่ทำให้ผู้ชายเบื่อคุณ!?!

    
     ในที่สุดก็ถึงเวลาสักทีนะครับ หลังจากที่วันก่อน ผมได้ทำการ "เผา" ผู้ชายทั้งหลายแหล่จนมอดไหม้กันไปแล้ว วันนี้ก็มีถึงคิวของเหล่า "สาวสวย" มั้งนะครับที่จะถูกเผากัน

     ก่อนที่จะเริ่มทำการ "เผา" ผู้หญิงกันแบบสดๆ ผมขอเปลี่ยนแปลงอะไรสักนิดหน่อยก่อนดีกว่านะครับ นั่นก็คือจากคราวที่แล้วที่ผมใช้ "อัตราความน่าถูกกระทืบ" มาคราวนี้ผมจะขอเปลี่ยนเป็น "อัตราความน่าถูกตบจูบ" แทนดีกว่านะครับ

     ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอและ "คุณแม่ขอร้อง" เพราะแบบนั้นหากยังใช้ "อัตราความน่าถูกกระทืบ" อยู่ล่ะก็มันอาจจะดูรุนแรงและไม่เหมาะสม และประเดี๋ยวผมจะโดนผูหญิงตามแช่งเอาเปล่าๆ มันคงจะไม่ใช่เรื่อง ฮ่าฮ่า

     เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มทำการ เผา กันเลยดีกว่าครับ

     1: ต่อมความกังวลทำงานมากจนผิดปรกติ
          เป็นประจำเลยครับ ถ้าเวลาผู้หญิงคาดหวังอะไรไว้มากๆ ราจะเห็นอาการกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ชอบเก็บมาคิดแล้วกลัวว่าจะไม่ได้ตามที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้ และมักจะชอบเหลือเกินนะครับที่จะคิดแต่ใน "แง่ร้าย" ว่าจะเกิดอะไรห่าเหวขึ้นมา โดยไม่ค่อยจะคิดใน "แง่ดี" กันสักเท่าไหร่หรอกครับ
          ขอเตือนผู้หญิงทั้งหลายแหล่ไว้เลยนะครับ ถึงผู้ชายอย่างพวกเราจะไม่เคยแสดงออก แต่จงรับรู้ไว้นะครับว่า พวกเราเริ่มจะ "รำคาญ" อยู่ในใจแบบ "เล็กๆ" แล้วล่ะครับ เพราะงั้น ไม่ต้องคิดวิตกกังวลอะไรมากมายหรอกครับ เพลาๆหน่อยก็ได้
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 60 ริมฝีปากตบ

   
      2: ขี้บ่นราวกับเป็นเจ้าแม่เพลงแร๊พ!?!
           เอ่อ....เราจีบผู้หญิงเพื่อนอยากให้เป็น "แฟน" นะครับ แต่ไหงพอผ่านขั้นตอนกระบวนการ "ตรวจภายใน" ในแล้ว ทำไมเจ้าหล่อนถึงกลายร่างมาเป็น "คุณแม่" ซะได้ก็มิอาจทราบ เพราะเจ๊แกเล่นบ่นแบบ "นันสต๊อบ" บ่นได้บ่นดีไม่มีหยุด บ่นจุกบ่นจิกราวกับว่าการบ่นมันเป็น "สันดาน" ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างนั้นล่ะครับ
          ทางที่ดีนะครับ คุณผู้หญิงควรจะชวนคุณผู้ชายมานั่งคุยกันแบบ "จับอก" เลยดีกว่านะครับ (จับอกหมายถึงการผสมผสานกันระหว่าง จับเข่าคุยกัน และเปิดอกคุยกันน่ะครับ มันจึงเป็นการคุยแบบเปิดเผยที่พึงใช้กับคนรักเป็นอย่างยิ่ง) ไม่ใช่เอาแต่บ่นไปบ่นมาอยู่ได้ แบบนั้นบอกตรงๆครับว่า "มันน่ารำคาญว่ะ คุณแม่!?!"
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 70 ริมฝีปากตบ


     3: อารมส์มักจะอยู่เหนือเหตุผล
          อันนี้จริงไม่จริงผมเองก็ไม่รู้ สาวๆหลายคนอาจจะเถียงจนเอ็นคอแทบจะขาดว่า ไม่ แต่เคยสังเกตมั๊ยครับ เวลาสาวๆจะชื้อของน่ะ ลองให้ได้ "ชอบ" ของสิ่งนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ "มันไร้สาระ" หรือ "ไร้เหตุผล" ยังไงเจ้าหล่อนก็จะต้องเอามาเชยชมให้จงได้ หรืออย่างน้อยถ้าหันหลังไม่ชื้อมัน เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยจะยังคงอยู่ซึ่งความรู้สึก "เสียดาย" และ "อยากชื้อ" อยู่ดีน่ะแหล่ะครับ
          เหมือนกันล่ะครับผู้หญิงจะ "งอน" จะ "โมโห" บางทีเจ้าหล่อนอาจจะไม่ต้องใช้คำว่า "คำว่าเหตุผล" เลยครับ เพราะ อาจจะเกิดจากแค่ "อารมส์" โดยเฉพาะ ส่วนเหตุผลอื่นน่ะเหรอครับ เจ้าหล่อนโยนทิ้งลงถังขยะเรียบร้อยแล้วล่ะคร๊า~~~บ
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 60 ริมฝีปากตบ


     4: หัวใจดวงเล็กเกินไป!?!
          หรือเรียกกันทั่วไปในหมู่วัยรุ่นในสยามประเทศว่า "น้อยใจและใจน้อย" นั่นเองครับ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นทันทีที่สาวเจ้ามีอารมส์ที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่าในสายตาของคนสำคัญ ส่วนจะแสดงออกมารึเปล่าอันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเองล่ะครับ (แต่ส่วนมากมักจะแสดงออกมานะครับ)
          หากมีอาการน้อยใจแล้วฝ่ายชายเข้าใจ อันนี้ก็อาจจะไม่เป็นไรหน่อย แต่ถ้าหากผู้ชายคนไหน มีเข้าใจหรืออาจจะตามไม่ทันกับอารมส์อันแสนแปรปรวนของฝ่ายหญิง ระวังนะครับว่ามันอาจจะสร้างความแตกแยก ทั้งๆที่บางทีมันอาจจะเป็นเพียงแค่ "สิ่งเล็กๆที่เรียกว่างอน" เฉยๆก็ได้  ผู้ชายอย่างเราๆไม่ "ละเอียดอ่อน" และ "คิดเล็กคิดน้อย" เหมือนผู้หญิง  แหมอยากจะบอกเหลือเกินนะครับว่าการที่เราไม่ "ง้อ" นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักคุณ แต่มันอาจจะเป็นเพราะบางที "กรูคิดไม่ทันมรึงนะโว้ยยยยยย!!!"

          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 75 ริมฝีปากตบ


     5: หูเป็นญาติพี่น้องกับ "สำลี" ???
          หูเบานั่นเองล่ะครับ (หรือว่าคุณจะเถียงว่าสำลีมันหนัก) อาการนี้บอกตรงๆเป็นการส่วนตัวเลยนะครับว่าเป็นอาการที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับสายตาของผมนะครับ เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่า หลายๆคนคงเคยมีแบบไอ้ประเภทที่ว่า อยุ่ดีๆก็มาโมโห โวยวาย และงอนใส่ เพียงเพราะแค่ไปถูกน้ำลายของคนอื่นมาติดข้างหูเข้า โดยที่ไม่ยอมรับฟังความจริงจากปากของเรา เหล่าผู้ชายเลยสักคำ อ้าว...ตกลงนี่กรูนอนอยู่กับมรึงมาทุกวันนี่ มันไม่ทำให้มรึงเชื่อใจในตัวกรูเลยเหรอวะเนี่ย!?!
          ฟังกันหน่อยนะครับ "คุณแม่" ฟังกันหน่อย เพราะบางทีคนข้างนอกอาจจะมีหลายคนที่อาจจะ "อจฉาตาร้อน" และชอบ "กลั่นแกล้ง" คนที่รักกันให้ต้องแตกแยกดั่งคำที่ว่า "สร้างความร้าวฉานคืองานของกรู" เพราะงั้นกรุณาใช้หัวสมองไตร่ตรองสักหน่อยนะครับว่าไอ้สิ่งที่ได้ยินมาน่ะ มันจริงเท็จสักแค่ไหน ไม่ใช่ได้ยินอะไรมาก็เอะอะโวยวาย ราวกับผู้หญิงมี "ประจำเดือน" อย่างเดียว อย่างนี้ไม่ไหวนะครับ......หัดฟังผัวตัวเองมั้งนะครับ
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 90 ริมฝีปากตบ (โครตมากเลยข้อนี้ ฮ่าฮ่า)


     6: ขี้อิจฉาตาฟาเรนไฮต์
          ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เหล่าผู้หญิงจับกลุ่มรวมตัวกันดูสิครับ แล้วถ้าบังเอิ๊~ญ บังเอิญ แฟนของคุณดันไปเห็นเพื่อนของหล่อนชื้อกระเป๋าใบเก๋ไก๋สไลเดอร์มากกว่าของเจ้าหล่อน เชื่อได้แบบล้าน%เลยนะครับว่า ถึงแม้ปากจะพูด "ว๊า~ย สวยนะยะหล่อน" แต่ในใจต้องคิด "มรึง สักวันกรุจะต้องมีของที่แพงกว่ามรึงให้ได้ ฮึ่ม!!" พูดง่ายๆเลยครับว่า หากในกลุ่มเพื่อนๆด้วยกัน ดันมีใครคนใดคนหนึ่ง (เสือก) เด่นเฉิดฉายเกินหน้าคนตาคนอื่นในฝูง ต้องมีการเกิดอาการที่คนแถวๆนี้เรียกว่า "อิจฉาตาร้อน" อย่างแน่นอนครับ
         ถ้าอิจฉาแล้วมันก็ต้องระบายกันหน่อย แล้วใครล่ะครับที่จะเป็นคนถูกระบาย ก็ผู้ชายอย่างเราๆนี่ล่ะครับ.........เปล๊า พวกผมไม่ได้เบื่อที่จะฟังนะครับ (ถึงแม้บางครั้งจะเบื่อที่จะฟังจริงๆก็ตามเถอะ) แต่ไอ้ที่ส่อถึงความอิจฉาของพวกคุณต่างหากที่ทำให้พวกผมเบื่อสุดๆ บางทีมันอาจจะถึงกับ "เอือมระอา" กันเลยทีเดียวเชียวล่ะครับ
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 85 ริมฝีปากตบ


     7: ขี้ใจอ่อน
          นิสัยนี้น่าเป็นห่วง เพราะมันแสดงให้เห็นถึงอาการ "ถูกชักจูงได้ง่าย" และมักจะทำให้เกิดอาการ "ลังเลที่จะตัดสินใจอะไรลงไป" แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ยังมีข้อดีอยู่เหมือนกันนะครับ ไอ้นิสัยขี้ใจอ่อนเนี่ย
          นั่นคือสังเกตได้เลยครับว่า คนประเภทนี้เวลาโกรธใครมักจะหายโกรธได้เร็วกว่าไอ้พวก "ใจแข็ง" แต่ถึงยังไงพวกเราผู้ชายก็อยากจะให้คนรักของพวกเรา "เพลาๆ" นิสัยนี้หน่อยก็ดีนะครับ หรือจะ "สงวนสิทธิ์" ไว้ใจอ่อนกับแฟน อย่างเดียวแบบนั้นมัน Work กว่านะครับ ฮ่าฮ่า
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 20 ริมฝีปากตบ


     ..............

     .....................

     ............................


     และเหล่านี้คือ "นิสัย" หรือ "สันดาน" ที่ผมคิดว่าเหล่าผู้หญิงทั้งหลายควรจะปรับปรุงให้มันดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนแปลงนะครับแค่ "ปรับปรุง" ก็พอครับ

     ผมเชื่อเหลือเกินว่า ผู้ชายเกินครึ่งน่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมด เพราะงั้นถ้าคุณผู้หญิงรู้แล้วก็ควรจะปรับปรุงนะครับ เพราะหาก นิสัยเหล่านี้ที่ถูกกล่าวไปของคุณผู้หญิงดีขึ้นมา คุณจะดูน่ารักอีกเป็นกองเลย



ถึงแม้ทุกวันนี้ คุณจะดูน่ารักอยู่แล้วก็ตาม ฮิฮิ






วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิสัย (สันดาน) ที่ทำให้ผู้หญิงเบื่อคุณ!?!

  
    เนื่องด้วยตัวของผมเองเกิดมาเป็นผู้ชายที่ผ่านอาการ "ช้ำรัก" มาแบบหอมปากหอมคอพอสมควรเหมือนกัน และทุกครั้งที่ได้ทำการ บอกลาชีวิตคู่ ผมมักจะมานั่งคิดอยู่เสมอว่า "กรูผิดตรงไหนวะ?" พลางค้นหาคำตอบของคำถาม พลางคิดวิธีดัดสันดานตัวเอง เพื่อที่จะให้รักของตัวเองในครั้งต่อไปไม่ต้องเจอเรื่อง ซ้ำๆซากๆ อย่างการเลิกราแบบเดิมๆอีก

     เพราะฉะนั้นไหนๆก็ไำหนๆ วันนี้ผมจะมาว่ากันถึง "นิสัย" หรือ "สันดานเหี้ยๆ" ที่มันมักจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกผู้หญิงทั้งหลายเบื่อในตัวผู้ชายก่อนมันอาจจะกลายมาเป็นสาเหตให้เลิกราได้ในภายภาคหน้าและเหมือนเช่นเคยครับ ผมจะแถม "อัตราความน่าถูกกระทืบ" โดยสอบถามจากสาวสวยจำนวน 100 คนมาเป็นของแถมเหมือนเช่นเคยครับ

     คือพูดง่ายว่า ถ้าคุณมีสันดานแบบนี้ ผู้หญิงจากร้อยคนจะมีจำนวนกี่คนที่อยากจะกระทืบหน้าคุณให้แหลกคาตีน เพราะงั้นอันไหนอัตราความน่าถูกกระทืบมากๆหน่อยคุณผู้ชายก็ระวังตัวไว้ด้วยล่ะครับ ขืนไปทำอย่างที่จะกล่าวถึงบ่อยๆเดี๋ยวพอเวลาเกิดเรื่องแล้วหน้าจะแหกเหมือน "หมาถูกกระทืบ" โดยไม่รู็ตัว

     แต่ขอออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับว่าถึงแม้ผู้อ่านหลายๆท่านอาจจะมองผมว่าค่อนข้างเป็น"คนไม่ค่อยจะเต็ม" และ "ไร้แก่นสาร" แต่กับบทความนี้ "สาเหตุ" ทั้งหมดที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ มีแหล่งที่อ้างอิงถึง และ "เชื่อถือได้" อย่างแน่นอน

     มาเริ่มกันเลยครับ

     1: ไร้สมรรถภาพทางอารมส์อย่างรุนแรง
          เห็นประจำแหล่ะครับกับอาการ "น้อยใจ"  "โกรธ"  "หึง"  และ "ขี้งอน" ที่จะออกมาจากฝ่ายหญิง แต่พวกผู้ชายทุกวันนี้โดยส่วนมากอาจจะใช้ "ส้นตีน" คิดแทน "หัวสมอง" และ "หัวใจ" ก็ได้นะครับ ว่าแล้วก็คงนึกว่า เดี๋ยวแมร่ง...ฝ่ายหญิงเขาก็หายโกรธเอง ว่าแล้วก็เลย "ไม่ง้อ"  "ไม่ขอโทษ" ซะอย่างนั้น
          เคยมีคนบอกไว้ว่า ผู้ชายชอบยึดมั่นว่าตัวเองนั้นเป็นเพศที่ใช้ "เหตุผล" มากกว่า "อารมณ์" จึงเห็นว่า การแสดงอารมณ์ของผู้หญิง เป็นเรื่อง "ไร้สาระ" แหม.....คุณครับ ขนาดควายมันยังมองออกเลยนะครับว่าเป็นเพราะ "รัก" หรอก เลยทำให้ผู้หญิงทำตัว "ขี้น้อยใจ"  "โกรธ"  "โมโห" และ "ขี้งอน" น่ะ ระวังตัวไว้นะครับ วันไหนที่ผู้หญิง ไม่งอน ไม่หึง ไม่โกรธให้คุณแล้ว ให้คิดและเตรียมใจไว้ได้เลยครับว่า "กรู..อกหักแน่งานนี้!!!"
            อัตราความน่าถูกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายชนิดนี้ : 75  ส้นตีนถีบ



     2: สะกดคำว่า "เสมอต้นเสมอปลาย" ไม่ถูก
          แหมตอนรักกันแรกๆ ขนาด "ขี้" เรามันยังบอกว่า "หอม" สมัยจีบกันใหม่ๆ เอาใจใส่สารพัด เข้าถึงทุกระยะกระชับพื้นที่ อะไรนิดหน่อยก็ "อย่าลืมทานข้าวนะจ๊ะตะเอง"  "อย่านอนดึกนักล่ะตะเอง เค้าเป็นห่วง" ฝ่ายหญิงจะไปไหน ฝ่ายชายจะตามคอยพันแข้งพันขาตลอดแบบชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่เว้นช่องว่างและโอกาสให้ได้ "ปล่อยตด" กันบ้างเลย ช่วงนี้ถือเป็นช่วง "โปรโมชั่น" ของฝ่ายหญิงโดยแท้จริง แต่หลังจากที่ คุณตกลงปลงใจกับ พ่อรูปหล่อตัวดีแล้วล่ะก็ ขอให้พึงสังวรไว้เลยนะครับว่า จะไม่ได้รับ "การปฏิบัติ" หรือ "คอยเอาอกเอาใจ" เยี่ยงนี้อีกแล้ว มีแต่จะคอย "เอา" คุณอย่างเดียวเลยน่ะสิครับ
           แหม....แรกๆล่ะคำว่า เสมอต้นเสมอปลายถือเป็นจุดขายของผู้ชายเชียวนะครับ แต่พอหลังๆมา "สันดาน" เริ่มออก แม้แต่ให้สะกดทีล่ะตัว พี่แกยังสะกดไม่ถูกเล้ย พวกมรึงตกภาษาไทยมาหรืออย่างไรมิทราบ!?!
           อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายชนิดนี้ : 90 ส้นตีนถีบ (โครตมากเลยโว้ยยยยยยยยย!!!)




     3: เลี้ยงงูกับหมาเป็นงานอดิเรก
            ลำพังถ้างูและหมาในที่นี้เป็นสัตว์เลี้ยงที่บ้านมันก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่นี่พี่แกดันเล่นเลี้ยง "งู" บนหัว และเลี้ยง "หมา" ในปากซะแบบนั้นล่ะครับ ว่ากันถึง "งู" ก่อนเข้าใจคร๊าบ...เข้าใจว่าผู้ชายน่ะมันก็ต้องเจ้าชู้กันมั้งเป็น "ธรรมสันดาน" (สันดานตามธรรมชาตินั่นเอง) งั้นพวกคุณก็จงเข้าใจเหล่าผู้หญิงเช่นกันนะครับว่าพวกเขา ก็มี "อาการหึง" เป็น ธรรมสันดาน เหมือนกัน แต่ไหง พวกคุณเล่นเจ้าชู้แหลก แลกเบอร์ไปทั่ว คั่วหญิงไปเรื่อย พอเราหึงนิดหึงหน่อย ก็ดันมาว่า "ไร้สาระ" ซะแบบนั้น ครั้น "เจ้าชู้เล็กๆ" ยังพอทนได้ แต่ถ้าเจ้าชู้ขนาดที่ว่าจีบ แมร่ง...หมดตั้งแต่ ครูใหญ่ จนถึง ภารโรง อันนี้มันก็ไม่ไหวครับ เพราะขนาดนี้ผมคิด (เอาเอง) ว่า "ขนาดหมายังไม่อยากเอามรึงเล้ย"
            มาว่ากันต่อที่ "หมา" ครับ ปากหมามั้งเล็กๆน้อยๆ บางทีอาจจะเป็น "เรื่องโจ๊ก" ที่สร้างเสียงหัวเราะในหมู่คณะได้มั้งนะครับ แต่ถ้าชนิดที่ว่าเล่นเลี้ยงหมาไว้ในปากเป็น "ฟาร์ม" และแทบทุกคำพูดจะต้องปล่อยหมาออกมาเพ่นพ่านขี้ เหยี่ยวรดคนอื่นเขาไปทั่ว แบบนั้นมันก็ไม่ไหวนะครับ อย่าว่าแต่แฟนคุณเลย ผมเป็นเพื่อนคุณผมยังอยากกระทืบคุณเลยด้วยซ้ำ!!!
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายประเภท "งู" : 60 ส้นตีนถีบ
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายประเภท "หมา" : 100 ส้นตีนกระทืบบ!!!!!?!!!!!




     4: การวิเคราะห์เหตผลไม่ค่อยจะครบบาท
            ไม่รู้ไปคิดมาได้ไงนะครับว่า "ผู้ชายชอบใช้เหตุผล ส่วนผู้หญิงชอบใช้อารมส์" จริงอยู่ครับว่ามันอาจจะใช่ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ถ้าผู้หญิงชื้อเสื้อผ้า ก็บอกว่า "ไร้สาระ" ชอบชื้อตุ๊กตา ก็หาว่า "ปัญญ่าอ่อน" แหม...ของอย่างนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ชายเพียงฝ่ายเดียวนะครับ มันต้องมองด้วย มองให้ลึกลงไปกว่านั้น เพราะทีพวกผู้ชาย "ติดเกมส์" หรือ "ติดพนันบอล" พวกเราฝ่ายหญิงยังไม่เคยบ่นเลยสักดอก แต่พอกับเราล่ะก็ คุณเล่นว่าเอาๆแบบไม่ให้เราได้พูดอะไรเลย เนี่ยนะที่บอกว่ามรึงใช้เหตุผล ฮ่าฮ่าฮ่า อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย
            งานอดิเรกของใครก็ของมันนะครับ อย่าไปก้าวก่าย ว่าผู้หญิงเขานักเลย อย่างน้อยก่อนจะว่าเขาโปรดชำเลืองตัวเองก่อนนะครับ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวอาจจะโดน "ของเข้าตัวเอาก็ได้"
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายชนิดนี้ : 80 ส้นตีนถีบ




     5: "ใจร้อน" และ "ชอบวางอำนาจ"
            ชอบออกคำสั่ง และคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูด "ถูกที่สุด" และ "ถูกเสมอ" ลำเอียงเข้าข้างตัวเองตลอดเวลา พอเราทำท่าจะไม่เชื่อฟัง ก็โมโหโทโสทำหน้าราวกับว่า "ญาติสนิททางบ้านของท่านชาย" กำลังจะมีอันเป็นไปซะอย่างนั้น แนะนำอะไรนิดอะไรหน่อยปากก็บอกว่า "เออ....แล้วจะลองไปคิดดู" แต่เชื่อเถอะครับ 92 จากร้อยคนน่ะ มันไม่คิดกันหรอก (ส่วนอีก 8 คนที่มันคิด ก็ดันเป็นเกย์ไปซะ 5 แล้ว เหลือผู้ชายดีๆ แบบ จริงๆไว้ 3 คน ก็ดันเสือกมีเมียไปหมดแล้วน่ะซี่)
            ขอให้เหล่าท่านชายทั้งหลายกลับไปคิดซะใหม่เลยนะครับ มีตัวอย่างให้เห็นหลายครั้งแล้วว่า "คนที่ประสบณ์ความในชีวิตโดยส่วนใหญ่เป็นเพราะมีภรรยาที่ดีคอยให้คำแนะนำอยู่เบื้องหลัง" ครับ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะงั้นต่อจากนี้หัดดเชื่อฟังคำแนะนำของ เราบ้างจะเป็นการดีอย่างยิ่ง ครับ เพราะผู้หญิง ของเข้าดีจริงๆ เอิ๊กเอิ๊ก
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายชนิดนี้ : 60 ส้นตีนถีบ




     6: "เพื่อน...กรูรักมรึงว่ะ!?!"
            เราผู้หญิงทั้งหลายต่างทราบกันดีีว่า ผู้ชายโดยส่วนใหญ่ (ตามสันดาน) เป็นคนที่ติดเพื่อนมากขนาดไหน แล้วจะไม่ให้เราเบื่อได้ไง ก็ลองดูสิ บางที โทรฯนัดเราเรียบร้อยแล้ว แต่พอเพื่อนกริ๊งไปหาบอกว่า "คืนนี้มีเมา" แมร่งเลื่อนนัดเราซะดื้อๆเลย เวลาเราชวนไปไหนล่ะก็บ่ายเบี่ยง ปฏิเสธตลอด แต่ลองให้เพื่อนเลิฟชวนดูแล้วล่ะก็ ต่อให้ตัวเป็นเกรียวแค่ไหนก็เจียดเวลาว่างไปจนได้ อย่างนี้จะไม่ให้เราเอือมระอา ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรดีแล้ว
            ถ้ายังเป็นแบบนี้ งั้นวันหน้าวันหลัง ก็ให้เพื่อนๆสุดที่รักของคุณเป็นคนมาคอยตามปรณิบัติ พัดวี รับใช้ให้แล้วกัน ก็ในเมื่อรักกันมากก็ต้องทำให้กันได้สิ จริงมั๊ย?
            ไม่ใช่ว่าไม่ให้เข้าสังคมนะ โดยเฉพาะกับเพื่อนๆเรายิ่งยินดีเลย (เพราะบางทีเราก็สบายใจเหมือนกันที่ผู้ชายไม่อยู่ ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง) แต่บางครั้งก็กรุณาเห็นอกเห็นใจเราบ้าง ไม่ใช่อะไรก็ เพื่อน พื่อน แล้วก็เพื่อนหมด ถามคำเดียว? ที่คุณ "นอนสืบพันธุ์" อยู่ด้วยทุกวันนี้น่ะ มันเพื่อนของคุณหรือว่าพวกเราผู้หญิงที่เป็น "แฟน" ของคุณกันแน่........
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายชนิดนี้ : 80 ส้นตีนกระทืบ


               ....................
              .............................
               ....................................


             


     เหล่านี้ล่ะครับ คือเหตผลซึ่งส่วนใหญ่ทำให้ผู้หญิงเบื่อในตัวผู้ชาย ที่จริงแล้วยังคงมีอีกมา แต่วันนี้เราขอ เผา คุณเพียงเท่านี้ก่อนดีกว่า เผามากไปเดี๋ยวมันจะไม่ดี เพราะกรูก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน (ถึงในบทความข้างต้นกรูจะทำตัวเนียนเป็นผู้หญิงก็ตาม) ฮ่าฮ่า


     เรียกง่ายๆว่า วันนี้เอาแค่เบาะๆ พอให้เห็นภาพก่อนนะครับ แค่ผู้ชายหลายคนปรับปรุงนิสัยทั้ง 6 ข้อนี้ได้ ผมเชื่อเหลือเกินนะครับว่า คุณจะเป็น "ยอดชาย" ที่ไม่ว่าสาวที่ไหนก็ต่างต้องหลงรัก (แต่หน้าตาคุณต้องไม่ผิดมนุษย์มนาถึงขั้นอุบาทด์บัดซบด้วยนะครับ)


     ท่านชายทั้งหลายไม่ต้องเสียใจนะครับ วันนี้ทีของเราก่อน เดี๋ยวันหลังผมจะจัดของผู้หญิงมาให้ท่านได้อ่านกันมั้ง




เผาผู้หญิงวันหลังดีกว่าครับ เพราะอย่างที่โบราณเขาบอกไว้ว่า "หัวเราะทีหลัง ย่อมดังกว่า" เอิ๊กเอิ๊ก!!!!



วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ว่ากันด้วยเรื่องของ "คำด่า" (18+)


     วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรนะครับ ผมอยากจะเขียนถึงอะไรที่มัน "สถุลๆ" สักหน่อย (ถึงปรกติผมจะสถุลอยู่หน่อยๆแล้วก็ตามแต่ใันตอนนี้จะมากกว่าเดิม) เพราะอย่างนั้น บทความของผมบทความนี้จึงจะมาพูดถึง "การด่า" และ "คำหยาบ" ในภาษาไทยครับ

     น่าแปลกเหมือนกันนะครับแต่ผมคิดเอาเองว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีคำที่ใช้แทนตัวเองและแทนบุลคนอื่นอย่างหลากหลายรูปแบบซะเหลือเกิน

     ยกตัวอย่างเช่น.....
    
     ถ้าเป็นคนไม่ค่อยสนิทกันจะเรียกแทนตัวว่า "ผม" หรือ "ดิฉัน" แล้วเรียกอีกฝ่ายว่า "คุณ" หรือ "ท่าน"

     แต่พอได้ลองคบกันไปๆมาๆ สนิทจนได้ที่สันดานก็เริ่มออก ก็เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกแทนตัวเองมาเป็น "กู" และเรียกอีกฝ่ายว่า "มึง" ซะอย่างนั้น!?!

     ถ้าสนิทมากๆหน่อยก็อาจจะเรียก "ไอเหี้ย" เป็นกรณีพิเศษเพิ่มเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้ถูกเรียกอีกด้วยนะครับ ฮ่าฮ่า

     ทุกวันนี้ก็เช่นกันหากผมได้มีโอกาสพบเจอหรือพบปะกับเพื่อนฝูงที่สนิทระดับ "สนิทบรรลัยกัลย์" ทั้งแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับ แทนที่พวกเขา (รวมถึงตัวของผมเอง) จะเรียกชื่ออีกฝ่ายดีๆ เรากลับไปเรียกชื่อ พ่อชื่อแม่ ของอีกฝ่ายแทนซะอย่างนั้น

     สงสัยพอเห็นหน้าของผมพวกพี่แกคงจะคิดถึงพ่อผมขึ้นมาตะหงิดๆ เลยเอ่อชื่อพ่อผมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความ "เคารพ" และ "คารวะ"

     ลำพังเพียงแค่ออกมาแต่ชื่ออย่างเดียวมันก็หนักหนาพอใช้ได้แล้วนะครับ แต่นี่มันดันมี "ไอ้" นำหน้าชื่อพ่อผมมาก่อนน่ะสิครับ มันเลยยิ่งหนักกว่าเดิมอีก

     ผมเลยมักจะสวนกลับพวกเพื่อนๆผมไปบ่อยๆว่า "เรียกหาพ่องมึงเหรอ?" ฮ่าฮ่า

     สมัยเด็กๆผมยังจำได้ดีอยู่เลยครับว่า มีเพื่อนผมคนหนึ่งมันโมโหเรื่องห่าอะไรมาก็มิทราบ แต่เมื่อเดินมาเห็นผม มันก็มาตะคอกใส่หน้าผมด้วยน้ำเสียงราวกับนักร้อง "ฮาร์ดคอร์" ว่า "...แม่ง" ซะเฉยๆ

     ก่อนที่ผมทำหน้าเสล่อก่อนจะเล่นมุกกลับไปมัน ซะอย่างนั้นว่า "เออ....พ่อกูเจ้าชู้ เลยมีแม่ 7 คน มึงเลยมาว่ากูว่ามี 'เจ็ดแม่ง' ใช่มั๊ย?"ฮ่าฮ่า

     และคงจะเหมือนอย่างที่คนโบราณเขาบอกไว้ครับว่า ภาษาไทยเป็นภาษษที่ "ดิ้น" ได้เหมือนกับ ปลาดุกที่ถูกตีหัวแล้วยังไม่ตายในตลาดสดแถวๆลาดพร้าว

     ว่าแล้ว คำด่าในยุคนี้จึงถูกแปรสภาพ ให้มันเป็น คำด่าที่ดููดีมีค่านิยม ให้ทันสมัยขึ้นมาซะอย่างนั้น

     เช่นคำว่า "ไอ้เหี้ย" ที่เพื่อนๆผมใช้เรียกตัวผมแทนชื่อของผมเป็นประจำ เดี๋ยวนี้ เพื่อนๆผมบางคน มันกลับมาพูดว่า "ไอ้เควี่ย" แทนซะอย่างนั้น

     ยังมีอีกนะครับ บ้างก็ใช้ว่า "ไอ้เชี่ย" บ้างก็ใช้ว่า "ไอเฟี่ย" ก็มี (โดยที่พวกมึงคงไม่รู้ว่าคำที่มันเจ็บและเด็ดดวงที่สุดก็ยังคงเป็นคำว่า "ไอ้เหี้ย" อยู่ดีนั่นแหล่ะ)

     อีกคำหนึ่งครับ "ไอ้สัตว์" คำนี้ก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายกับ บุคคล ซึ่งเป็นที่ "เกลียดขี้หน้า" ของคนที่กล่าว แต่เดี๋ยวนี้คำๆนี้มันถูกแปรสภาพมาเป็น "ไอ้สัส"  "ไอแสส" หรือบางที่แมร่ง พี่แกลากเสียงยาวๆ กลายเป็น "ไอ้แสรดดดดดดดด" ไปซะอย่างนั้นแหล่ะ!?!

     ในสมัยที่ผมกำลังทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองอยู่ที่เกาะสมุย ในอาชีพที่เรียกกันซะสวยหรูว่า "หัวหน้าบริกร" แต่ทั้งที่จริงๆแล้ว เรียกกันแบบบ้านๆว่า "เด็กเสิร์ฟ" ก็ได้ (ที่ผมได้เป็นหัวหน้าเพราะนอกเหนือจากผมแล้ว เด็กเสิร์ฟที่เหลือคนอื่นๆ ถ้าไม่เป็นลาว ก็เป็น พม่า หมดเลยน่ะสิครับ ฮ่าฮ่า)

     ก็มีลูกค้าคนหนึ่ง ซึ่งพี่แกอาจจะโมโหในอาหารที่อาจจะมีรสชาติแบบประมาณว่า "หมาไม่แด๊กส์" อยู่่ๆแกก็มาตะคอกใส่หน้าผมว่า "ฮวยบ่ข่วย" ซะอย่างนั้น!!!

     งงสิครับงานนี้ "ฮ่วยบ่ข่วย" ภาษาห่าเหวอะไรก็มิทราบ แต่ดูจาก ท่าทางกริยา จากการพูดแล้ว พี่แกคงจะไม่เรียกผมเข้าไปชมว่า "น้องหน้าตาดีมากๆเลยนะคะ" แน่นอน

     ก่อนผมจะมารู้ในภายหลังว่าคำว่า "ฮวยบ่ข่วย" คือการด่าแบบภาษาสุภาพที่ดัดแปลง มาจากคำว่า "หัวควย" อีกทีหนึ่งนั่นเองครับ ซึ่งพี่แกอธิบายว่าพอเปลี่ยนมา เป็นคำว่า "ฮวยบ่ข่วย" แล้ว มันฟังเสนาะหู และใช้ได้ทั่วถึง กับคนทุกรุ่นมากกว่า

     ผมนึกในใจคนเดียวเบาๆครับว่า "ตกลงที่มึงด่ากูเนี่ย มึงจะด่าให้กูเจ็บ หรือจะด่าให้กูตลกดีมิทราบ?" ฮ่าฮ่า

     หรืออีกกรณีหนึ่งครับ ผมซึ่งตอนนั้นยังอยู่ที่ เมืองหลวงของประเทศ (สถานที่ๆซึ่งน่าอยู่ที่สุด ไม่เคยมีการทะเลาะวิวาทย์ รถไท่เคยติด แถมคนยังมีน้ำใจต่อกันอีกต่างหาก) อย่าง กรุงเทพมหานครฯ

     ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวในห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่ง และด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอกเพิ่งเข้า กรุงฯ ผมเลยเดินดูอะไรเพลินไปหน่อย โดยไม่เห็นว่า ข้างหน้าผมกำลังจะมีชายหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารักน่ากระทืบเดินสวนมาพอดี

     ว่าแล้วผมกะน้องเขาก็เดินชนกันเข้าอย่างจังจนทั้ง 2 ฝ่ายเซไปคนล่ะทาง ก่อนที่ผมจะตั้งหลักได้ และเดินเข้าไปขอโทษ พร้อมกล่าวว่า "เป็นอะไรมากมั๊ยครับ?"

     "จ๊าดม่าง" นั่นคือคำแรกที่พี่แกพูดใส่หน้าผม ก่อนจะ เดินจากไปพร้อมกับเพื่อนๆของเขา

     "จ๊าดม่าง" เล่นเอาผมงงแด๊กเลยครับ อะไรของมึงมิทราบ? พูดอะไรของมึง หรือเดี๋ยวนี้ เด็กเมืองกรุงฯ เขามีภาษาสมัยใหม่ใช้กันแล้ว พอดีกับไอ้เราที่เผอิญ เพิ่งจะเข้ากรุงฯ ไม่นานเลยทำให้ไม่รู้ความหมายที่แท้จริง ดีไม่ดีไม่แน่ "จ๊าดม่าง" อาจจะเป็นภาษาของวัยรุ่น ซึ่งแปลเป็นไทยแบบเดิมๆได้ว่า "ขอโทษ" ก็ไเป็นด้ครับ เพราะแบบนั้นเลยทำให้ผมไม่คิดอะไรมาก

     แต่...เมื่อลองไปถามเพื่อนที่มาด้วยกัน (ซึ่งมันอยู่กรุงเทพฯมาก่อนผม) มันก็บอกความหมายที่แท้จริงของคำว่า จ๊าดม่าง ว่า มันแปลเป็นไทยแบบเดิมๆได้ว่า "เจ๊ดแม่ง" นั่นแหล่ะครับ

     แหมได้ยินดังนั้นแล้วผมอยากจะวิ่งกลับไปกระทืบน้องๆนักเรียนกลุ่มนั้นซะเหลือเกินนะครับ แต่ดันติดที่ว่า พวกน้องเขาดันมากันหลายตัว เอ้ย...หลายคน แทนที่จะได้กระทืบเขาอาจจะกลับกลายเป็นว่า พวกน้องเขาตบผมหัวทิ่มเอาซะเปล่าๆ ฮ่าฮ่า

     นี่แสดงให้เห็นอีกอย่างนะครับว่า เยาวชนไทย เป็น เยาวชนที่มีคุณภาพมากๆ เพราะทั้งๆที่ผมเิดินชนน้องเขาแบบไม่ได้ตั้งใจ น้องเขาก็มี "ปฏิกิริยา" โต้ตอบกลับมาเป็นอย่างดี และแสดงให้เห็นว่าพวกน้องๆเขาพร้อมทุกสถานการณ์ กับการ "มีเรื่อง" โดยไม่กลัวแต่อย่างใด

     แหม ช่างมีคุณภาพซะเหลือเกินนะครับ นี่ไงเขาถึงได้บอกว่า "คนไทยถ้าตั้งใจทำอะไรก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก" จริงๆ  ฮ่าฮ่า

     ภาษาบ้านเราเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เป็นห่าเหวอะไรกันหมดนะครับ ตอนออกจากปากคนนี้ก็เป้นอีกคำหนึ่ง แต่ออกจากปากอีกคนหนึ่งก็เป็นอีกคำหนึ่ง ทั้งๆที่ความหมายมัน ความหมายเดียวกันแท้ๆ

     แต่เอาเถอะครับ จะพูดจะด่าภาษาอะไรนั่นมันก็เรื่องของมึงกูไม่เกี่ยว แต่แค่อยากจะเตือนไว้หน่อยเท่านั้นแหล่ะครับ

     จะใช้ภาษาตามสมัยนิยมมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอกครับ มันเป็น "สิทธิส่วนบุคคล" ใครก็มิอาจจะห้ามคุณได้ และถ้าให้มันเป็นสมัยนิยมแบบพอดีๆบางทีภาษามันก็อาจจะฟังน่ารักไปอีกแบบก็ได้นะครับ

     หากใช้ภาษาที่มันแหวกแนว หลุดโลก หรือปัญญาอ่อนเกินไป กรุณาอย่านึกคิดนะครับว่าตัวเองจะ "โดดเด่น" หรือ "ทันสมัย"

     เพราะคงไม่มีใครหรอกครับที่พอได้ยินคนที่ใช้ภาษา "ต่างดาว" พูดกันแล้วจะรู้สึกชอบอกชอบใจ

     พวกเขาอาจจะยิ้ม แต่จริงๆในใจพวกเขาอาจจะกำลังคิดอยู่เช่นกันว่า


 "พวกมึงน่ะ บ้าไปแล้ว"