วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

ผู้หญิงและสตรีมีครรภ์ไม่ควรอ่านเกินวันล่ะ 2 รอบ หากอ่านแล้วเกิดอาการชักดิ้นชักงอให้รีบปรึกษาจิตแพทย์โดยทันที!!!!!!!

   
     ยอมรับตามตรงแบบไม่มีข้อโต้แย้งเลยนะครับว่าผมเองก็ไม่ใช่ "คนหล่อและรวย" อะไรมากมาย แต่ถึงกระนั้นเอง ผมเองก็ไม่ได้ "ขี้เหร่และจน" ถึงขนาดที่ถูกเรียกว่า "รันทดรัก" ขนาดที่ จีบใครสักคนก็ยังไม่ติดหรอกนะครับ

     แต่ปัญหาใหญ่ที่ตัวผมเองต้องเจอเกือบทุกครั้งเวลาที่ผมจะจีบใคร นั่นก็คือ คนที่ผมจีบนั้น "มีเจ้าของหัวใจ" แล้วนั่นเองล่ะครับ

     ตัวผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกนะครับว่า ทั้งๆที่เขาก็มีเจ้าของอยู่แล้ว ทำไม๊ ทำไม ผู้หญิงถึงกล้าให้ "เบอร์โทรฯ" กับผมมาอีก(กรุณานาอย่าอ้างว่าที่ให้เบอร์ฯมาเพราะเป็นคนมีสัมพันธ์ดีเพราะทุกคนผมออกตัวก่อนอยู่แล้วว่า กรูจะจีบมรึง)

     ไม่รู้ว่า เขาไม่กลัว เจ้าของจับได้มั้งเลยหรือไงก็มิทราบ......

     เอ่อ....ขอออกตัวก่อนนะครับ หลายคนอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วอาจจะคิดว่าผมเป็น "คนเลว" ที่ชอบแย่ง "เมีย" ชาวบ้านชาวช่องเขาน่ะ จริงๆแล้วไม่ใช่เลยนะครับ เพราะผมเริ่มจีบผู้หญิงหลายๆคนใน "สถานะ" ที่เขายังโสดอยู่ทั้งนั้นล่ะครับ

     แต่ไหงพอ ไปๆมาๆ เริ่มจีบ และ เริ่มมีความรักกันได้สักพักหนึ่ง ผู้หญิงกลับมี "ของชำร่วย" ที่คนส่วนมากเรียกกันว่า "ผัว" มาแสดงให้ผมดูก็มิทราบ

     สุดท้ายผมเลยต้องกลายเป็น "ชู้" แบบที่ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป ซะอย่างนั้นล่ะครับ

     จะเลิกกันก็ยาก เพราะ บางที กับผู้หญิงบางคนเราก็รักเขาเข้าไปแล้ว (แถมบางทียัง say Yes กันแล้วด้วย)

     ไม่ทราบว่าชาติที่แล้วผมคงจะเอา "ต้นบอระเพด" ไปทำบุญรึเปล่า มันจึงทำให้ชาตินี้ชีวิตผมถึงได้  "ดึงดูด" ต้นงิ้วซะเหลือเกิน

     เอาเถอะครับ...ถึงยังไงก็แล้วแต่ เพราะผมได้เจอกับเหตณ์การอย่างนี้บ่อยเหลือเกินจนทำให้ผม "คิดได้" ว่า ผู้หญิงที่ผมเจอทำไมถึงได้ทำตัว "11รด" ซะขนาดนี้

     ว่าแล้ววันนี้ผมอยากจะกล่าวถึงผู้หญิงประเภทนี้อย่าง "เอ็นจอยรูปาก" บนหน้ากระดาษไฟฟ้าหน้านี้สักหน่อย เพื่อเป็นการระบายถึงความอัดอั้นตันใจที่ผู้หญิง "บางคน" ได้กระทำการ "ไร้ซึ่งยางอาย" แบบนี้

     กล่าวง่ายๆคือ "เอามาประจาญ" นั่นแหล่ะครับ  ฮ่าฮ่าฮ่า


     (แต่ผมขอออกตัวก่อนจะถูกตบก่อนเลยนะครับว่า ผู้หญิงบนเมืองมนุษย์ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนนะครับ คนดีๆก็ยังมีอีกมากมาย แต่ในบทความนี้ผมจะกล่าวถึงเฉพาะผู้หญิงที่มีสันดาน "รับไม่ได้" เท่านั้นครับ ใครไม่มีนิสัยอย่างนี้ "กรุณา" อย่าร้อนตัวนะครับ)

   






     ไอ้ตัวของเกล้ากระผมเองก็ไม่อาจจะทราบได้นะครับว่า ผู้หญิงประเภทนี้เขาคิดอะไรของเขาอยู่ แต่ที่กระผมเคยประสบณ์มา (บอกตรงๆ มีประมาณ 3 คนที่ผมจีบแล้วมารู้ทีหลังว่า มันเสือกมีดุ้นอยู่แล้ว) เขามักจะอยู่ในสภาพ "เมียน้อย" มาก่อนแล้ว (ส่วนมากนะครับ ไม่ใช่ทั้งหมด)

     ว่าง่ายๆคือ ไอ้ที่ว่าเป็น "ผัว" ของเจ้าหล่อนน่ะ เขาก็มีเมียของเขาอยู่แล้ว และเจ้าพวกหล่อนก็จะอยู่ในฐานะ "ตัวสำรอง" หรือว่า "ที่สอง" อีกทีหนึ่ง

     นั่นจึงเป็นเหตผลที่ว่า ผู้หญิงเหล่านี้จึงมักจะอยู่ตาม "คอนโด" หรือ "หอพัก" คนเดียว (โดยที่คนเช่าให้ก็คือคนที่เจ้าหล่อนเรียกได้อย่างเต็มปากว่า 'แฟน' ทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นแฟนชาวบ้านเขา) เพื่อรอเวลาที่ผู้ชายคนนั้นจะมาหาแล้วก็เล่น "ชะ วี๋ วี่ วี" กัน และแน่นอนที่สุด การจะมี "ดีกรี" เป็นเมียน้อยเขา หน้าตาของหล่อนๆต้อง อยู่ในระดับ "สวยเกรด B" ขึ้นไป (คือถ้าต่ำกว่านั้นลงมา มันจะจัดอยู่ในระดับหน้าตาตัวเงินตัวทองหมด ฮ่าฮ่าฮ่า)  เพราะงั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่จะมี "ผู้ชาย" (ที่บางคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่) มาจีบ

     อ้าว..ลองคิดดูใครจะไม่สนใจล่ะครับ ก็ลองนึกตัวอย่างง่ายๆเช่นภาพของ ผู้หญิงหน้่าตา "จิ้มลิ้ม" นุ่งกุงเกงขาสั้นกำลังตาก กางเกง (ใน) อยู่บนระเบียงหลังหอพัก!!!!!!

    อู้ว์~~~~~ ซี๊ด ขนาดผมเดินผ่านมาเห็นผมยังอยากจะ "สอย" ลงมาเป็นเจ้าของเลยครับ

     ว่าแล้วอาชีพของผม (ในสมัยก่ิอน) ต้อง "เจอะเจอ" กับ กับผู้หญิงประเภทนี้บ่อยๆ (เพราะทำงานอยู่ข้างหอพักหญิง) มันก็เลยทำให้ผมอดใจไม่ไหวเลยต้องจีบ "เหล่านางฟ้าพญามัจจุราชเหล่านี้"

     จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้อยากเป็น "ชู้" กับใครเชาหรอกนะครับ สาบานให้แมวกัดคอผมตายเลย แต่ทุกครั้งที่ผมจีบคนเหล่านี้ เขาจะบอกว่า "ยังโสดค่ะคุณพี่"

     ไหงสุดท้ายจีบไปจีบมา "โปรโมชั่น" เสริมของสาวๆเหล่านี้กลับกลายเป็น "ผู้ชาย" ที่แบกความรับผิดชอบที่ชื่อว่า "ผัวของเจ้าพวกหล่อน" โผล่มาตอนจากไหนไม่ทราบ!!!!!!

     แหม.....จริงๆแล้วผมอยากจะ ด่าพวกหล่อนเหลือเกินนะครับว่า "ส้นตีีน!!!!!" แต่เกรงว่ามันอาจจะเป็นการกระทำที่อุกอาจเกินจะทนรับได้ของผู้หญิงหลายๆคน เพราะแบบนั้นผมจึงขอมอบให้เพียงแค่ีคำว่า "พ่อมมึง" ก็พอครับ

     ก็แหมจะไม่ให้ผมพูดและโมโหได้อย่างไรกันเล่าครับก็ในเมื่อ คุณเธอเล่นไม่ยอมบอกตามตรงว่่า "กรุณาอย่าวางระเบิดได้ม๊ายยยยยยยย ไอสาดดดดดดด!!!" เอ้ย!!!....ไม่ใช่ คนละเรื่องกันแล้ว คุณเธอไม่ยอมบอกก่อนว่า "นู๋มีแฟนอยู่แร้วนะเคอะ"

     เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไซ้ไอ้ตัวของผมเองที่เข้าไปจีบ (ผู้หญิงบางคนเสือกเล่นด้วย) ก็เท่ากับเอา "คอขึ้นเขียง" และ "เอาขาพาดต้นงิ้ว" ไปข้างหนึ่งแล้วนะครับ
         
     สมมุตินะครับ แค่สมุติ

     ถ้าเกิดผมถูก "ผัว" ของผู้หญิง (ที่กล่าวมา) ยิงดับเอาใครรจะรับผิดชอบ!!!!!!!!!!!!!!

     ไม่มีหรอกครับ ตัวกรูเองก็ต้องรับผิดชอบเองสิครับจริงมั๊ย? (อ้าว)

     ก็ในเมื่อผมเป็นฝ่ายผิดเองที่เริ่มที่จะไป "ประชับสัมพันธ์" กับพวกหล่อนก่อน เพราะงั้นหาก "ฟ้า" จะลงโทษ มันก็สมควรที่จะเป็นผมเนี่ยแหล่ะครับ




โทษฐานที่มรึงเสือกไม่สืบดูให้ดีก่อนว่าเขามี "ผัว" แล้วรึยัง???!!!!!



วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

"เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์" (The Fucking bullet)

   

     ไม่เมื่อนานมานี้ผมโดนคนหนึ่งคน "วิพากย์วิจารณ์" อย่างรุนแรงในข้อหาที่ผม "พูดมากเกินเหตุ!!!!!!!"

     ผมถามว่า "แล้วทำไมรึ?"

     เขาบอกว่า เวลามีคนมาพูดถึงเรื่องผมที่ผมเคยไปพูดอะไรไว้แล้วเขาไม่อยากจะฟัง เขาเบื่อ และเพราะผมพูดมากเกินไป มันทำให้เขา "เกลียด" ผม (เขาไม่ได้พูดแต่ผมสังเกตุจากท่าทางได้)

     ต้องเล่าย้อนเหตุการณ์ไปว่า ในวันหนึ่งซึ่งผมไม่สบาย (อ่อนๆ) และดันไปชวนเพื่อนสาวระดับ "สวยลากไส้" ไปกระซวก ไอติมนาม Swensen's

     แล้วพวกเพื่อนร่วมงาน "ที่น่ารักน่ากระทืบ" ก็คาบข่าวนี้ไปซุบซิบนินทา ราวกับตัวเองเป็นนักข่าว "ปาปารัซซี่" ประมาณว่า ทั้งๆที่ไม่สบายทำไมถึงยังจะไปเที่ยวกินไอติมได้วะ? (โดยที่พวกเขาคงจะแกล้งโง่ไม่รู้จริงๆว่าผมพูดเล่น)

     และแน่นอนครับ บุลคลข้างบนดันมาได้ยินแล้วก็เลยมาต่อว่าผมประมาณว่า "ทำไมถึงต้องพูดอย่างนั้นแล้วคนอื่นเขาจะมองเรายังไง ไม่สบาย ทำไมถึงไปพูดอย่างนั้น ทำไมไม่นอนอยู่กับบ้านเขามองเราไม่ดีรู้มั้งมั๊ย" พลางชักดิ้นชักงอ ราวกับจะตายเสียให้ได้

     เอ่อ......บอกแบบ "ไม่เกรงใจนรก" เลยนะคับว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะตอบกลับความ "หวังดี" ของคนๆนั้นไปว่า "เสือกแมร่งมรึงเหรอคะ!!!!!!??????"

     เอ่อ....คืออยากจะบอกจังเลยนะครับว่า ผมจะพูดอะไรแล้วใครจะเอาไปพูดต่อหรือมองผมยังไง ทำไมผมต้องแคร์ เพราะในเมื่อมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงและที่สำคัญเพื่อนร่วมงานและคนที่หวังดีกับผมมันมาเดือดร้อนห่าเหวอะไรด้วยในเมื่อมัีนเป็นเรื่อง "ส่วนตัว" ของผม และ "ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น" ขึ้นไปอีกคือ ผมก็ยังไปทำงานโดย "ไม่มีขาดไม่มีอู้ ไม่มีกินแรง" เพื่อนร่วมงานคนอื่น (เหมือนไอ้พวกที่มันสบายดี ไม่พูดมาก แต่กลับยืนห่าไม่กระดุกกระดิกไม่ทำงานห่าอะไรราวกับซากหมาที่ตายไปแล้วยังไงยังงั้น)

     ตรงจุดนี้จึงทำให้ผมได้ทราบและเข้าใจว่า ตอนนี้ผู้คนโดยส่วนใหญ่ในที่ทำงานของผมได้กลายเป็น "นักแสดงนำและนักแสดงสมทบ" ของหนังชื่อดังเรื่อง "เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์" (The Fucking bullet"

     คำถามมีอยู่ว่า หากผมไม่สบายขนาดนั้นแล้วยังมีหน้าไปกินไอศครีมจริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นเพราะเมื่อในวันต่อมาผมก็ยังมาทำงานทั้งๆที่ไม่สบาย และยังทำงานขยันกว่าพวกที่สบายดีด้วยซ้ำ?

     คำตอบก็คือ มันจะต้องมีหนังภาคต่อเรื่อง "เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์ ภาค 2 ตอน ตะลุยดง Swensen's" อย่างแน่นอนครับ (ถึงแม้ว่าผมจะมาทำงานไหวก็เหอะ)

     ไอ้ฉิบหาย!!!! พ่อมึงตาย!!!! หัวควย!!!! แอนด์ เดอะ มาเธอร์ ฟักเกอร์!!!!!!!! คือคำที่่ผมอยากจะพูดให้ไอ้พวกชอบ "เสือก" ซะเหลือเกินนะครับ เพราะแทนที่จะเสือกเรื่องชาวบ้าน พวกมึง "สมควร" จะมาช่วยกูยกข้าวยกของยกจานชามไปเก็บจะดีกว่า

     แต่ถึงยังไงก็ตามด้วย "วุฒิภาวะ" ของผมที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คำด่าข้างต้นเลยไม่ได้บินออกมาจากรูปากของผม แต่สิ่งที่ออกมากลับเป็นคำว่า "ขอบคุณครับ เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะระวังคำพูดให้มากกว่านี้"

     ที่จริงผมอาจจะพูดมากกว่านั้น แต่ถ้าใ้หสรุปรวบย่อผมก็คงจะพูดประมาณนั้นล่ะครับ

     ก็ในเมื่อเขากล้าที่จะมา "เสือก" เรื่อง "ส่วนตัวของกู" ผมก็ต้องยอมรับการ "สาระแน" ที่หวังดี และนำไป "ปรับปรุง" เพื่อให้ตัวผมจะได้ไม่ต้องโดนเขา "เสือก" อีกในภายภาคหน้า

     อนึ่ง คาดว่าหากผมไม่ปรับปรุงตัวเองแล้วนั้น สักวันอาจจะมาภาคต่อของ "เสือกหมาการฬกระสุนโลกัลย์ ภาค เกิดมาเพื่อเสือกเขาไปซะทุกเรื่อง" อย่างแน่นอนครับ

     และอีกอย่างหนึ่งคือผมไม่อยากให้เพื่อนร่วมงาน "เกลียด" ผมไปมากกว่านี้ เพราะหากเขาเกลียดผมกันหมดทั้งแผนกโทษฐาน "ไม่ค่อยจะเสือกเรื่องเพื่อน" มันก็จะทำให้ผม "คับใจ" และอาจจะต้องออกจากที่ทำงาน (อันอุดมไปด้วยเื่เพื่อนร่วมงานที่น่ารักน่ากระทืบ)

     หากไม่มีงานทำผมเองอาจจะกลายเป็นนักแสดงนำเดี่ยวๆในภาพยนตร์เรื่อง "พรุ่งนี้กูจะเอาอะไรแดกส์ my fucking tomorrow" ก็เป็นได้ เพราะแบบนั้นผมจึงเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถึงแม้ว่ามันอาจจะผิดกับ "สิ่งที่ผมเป็นไปบ้าง" แต่นั่นอาจจะหมายถึงการที่ผมรู้จักโตเป็น "ผู้ใหญ่"

     หากมีวันใดวันหนึ่งผมจะต้องย๊ายที่ทำงาน ผมอาจจะได้ "นิสัย" ที่ผมได้ปรับปรุงตัวเองมาแล้วจากที่ทำงานเก่า และเข้าไปเป็น "บุคลากรที่มีคุณภาพ" ของที่ทำงานใหม่ (เพราะอย่างน้อยผมก็จะไม่เสือก และไม่พูดมากเหมือนเดิมอีกแล้ว)

     แต่ไอ้พวกที่อยู่ในสถานที่ที่ "การเสือก" เป็นเรื่องปกติน่ะสิครับ



ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีกี่ชาติ สันดานคุณก็ยังคงชอบ "เสือก" เรื่องชาวบ้านเหมือนเดิมนั่นแหล่ะครับ