วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หัวหน้าที่รัก



     มีสาระครับ วันนี้มีสาระนะครับขอบอก.....

     แหม....มาถึงก็จั่วหัวแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษหรอกนะครับ เพียงแต่ว่า เนี่ยงจากตัวผมเองก็เป็น "นักเขียน" บทความที่ไม่ค่อยจะมีอะไรที่คนส่วนใหญ่โดยทั่วไปเรียกมันว่า "สาระ" สักเท่าไหร่

     คนบางคนถึงขนาดเลื่อน "บรรดาศัก" ให้ "บทความ" ของผม เปลี่ยนแปลงไปเป็น "บทควาย" ซะอย่างนั้น

     ว่าแล้ววันนี้เลยขอมาเขียนอะไรที่มัน "มีสาระ" กันสักหน่อยดีกว่านะครับ

     วันนี้ผมจึงอยากจะมาเขียนถึง "หัวหน้า" กันดีกว่านะครับ

   

     ผมเชื่อเหลือเกินว่า หลายๆคนใน "สยามประเทศ" แห่งนี้ ต่างก็มีอาชีพ "เป็นลูกน้อง" ของคนอีกหลายๆคน หรือไม่บางคนก็ "ยิ่งใหญ่" ได้ยศถึงขนาดเป็นหัวหน้ากับเขากันแล้ว   แต่เคยรู้กันรึเปล่าครับว่า หัวหน้าที่ดีควรมี "ลักษณะ" รวมถึง "นิสัยใจคอ" อย่างไร? ถึงจะเรียกว่า หัวหน้าที่ดีได้


     ผมเคยทำงานเป็น "ลูกน้อง" ของเขามาก็หลายครั้งเหมือนกัน แถมครั้งหนึ่งในชีวิตผมเองก็เคยได้เป็นหัวหน้ากะคนอื่นเขาด้วยอีกต่างหาก แต่ผมกลับไม่เคยรู้ถึงการเป็น "หัวหน้าที่ดี" เลยว่าควรทำอย่างไร?

     อนึ่ง....หนึ่งครั้งในชีวิตที่ผมได้มีโอกาสเป็นหัวหน้ากับเขา เพราะร้านที่ผมเข้าไปสมัครทำงาน มัน "เสือก" มีแต่ "ชาวพม่า ชาวลาว และชาวประเทศเพื่อนบ้าน" เป็นเพื่อนร่วมงานทั้งหมดน่ะสิครับ เพราะงั้นผมในฐานะที่เป็นคนเดียวที่พูด "ไทยและอังกฤษ" ได้รู้เรื่องที่สุดได้รับ "อาณิสงค์" ได้เป็น "หัวหน้า"คนพวกนี้แบบในวงเล็บไว้ด้วยว่า "ซะอย่างงั้น" ฮ่าฮ่าฮ่า


      เพราะอย่างนั้นวันนี้ผมเลยจะมีเขียนถึง "บุคลิก" และ "คุณสมบัติ" ที่ดีที่ "หัวหน้า" พึงจะต้องมีกันนะครับ.......หากแต่ท่านไม่มีสิ่งที่ผมเขียนเหล่านี้ไว้ติดตัวมั้งแล้วล่ะก็ ท่านอาจจะได้กลายร่างจาก "หัวหน้า" มาเป็น "หมาหัวเน่า" แทนก็ได้นะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

     ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเป็นข้อๆเลยดีกว่านะครับ

          1 : รู้จักกับคำว่า "บริหาร" ดียิ่งกว่าตัวแม่
     หากเป็นผู้นำของ "คน" หรือของอะไรก็ตามแต่คุณเหอะ แต่ถ้าคุณกลับไม่รู้เรื่องห่าเหวอะไรเกี่ยวกับ "การบริหาร" เลย ก็กรุณา กลับบ้านไป "แขวนคอตาย" สักสองร้อยรอบนะครับ มันถึงจะสาสม ต้นเหตุที่ แมร่ง....ทำห่าอะไรไม่เป็น
     ในการบริหาร หากพวกเราจะพูดอีกแบบก็คือ "การบริหารคน" นั่นเอง เพราะ "ตัวของบุคคล" นั่นแหล่ะจะเป็นผู้กำหนก "ทิศทางขององกรค์" หรือทิศทางของ "เป้าหมาย" ได้ เพราะงั้น ต้องศึกษาเรียนรู้หลักการ บริหารที่ดีและถูกหลัก และ นำมา "ประยุกค์" ใช้ให้เข้ากับ "อุปนิสัย และ สันดาน" ของตัวหัวหน้าเองด้วยนะครับ หากแต่บางครั้งการบริหารกัีบตัวบุคคลอย่างเดียว เหมือนที่ "บริหาร" กับ "เมีย" ทุกๆคืนก่อนนอนมันก็ไม่อาจจะช่วยอะไรขึ้นมาได้สักเท่าไหร่ เพราะงั้นก็ควรที่จะเรียนรู้การบริหารทางด้าน "จิตใจ" หรือ "จิตวิทยา" ด้วยเหมือนกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อ "ผลงาน" ที่จะได้รับ

          2 : เฮ้ย!!!!.....อย่าให้มันมากหรือน้อยไปเด้!!!!!
     จั่วหัวข้อ 2 มาหลายๆคนๆคงถึงกับ "งอ งู 2 ตัว" ว่า อะไรของมันวะ? แต่ผมจะอธิบายง่ายๆแล้วกันนะครับว่าเขาเรียกมันว่า "ระยะห่าง" ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องนั่นเอง พูดง่ายๆก็คือ คุณต้องรักษาระยะความห่างของคุณกับลูกน้องเอาไว้ อย่าให้มันห่างมากไป หรือ ใกล้กันมากเกิน เพราะไม่อย่างนั้น ความ "Shipหาย" อาจจะตามมาได้ในภายภาคหน้า
     คิดในแบบง่ายๆ ผมจะลองยกตัวอย่างให้ดู หากคุณ "ทิ้งระยะ" กับลูกน้องมากเกินไป ลูกน้องอาจจะเกิด "อคติ" กับตัวคุณได้ อย่างเช่นว่า "แมร่ง...ทำไมใช้แต่กรูวะ" หรือ "เออ ก็กรูมันไม่ใช่ลูกรักนี่หว่า" หรือ "วันๆเดินด่าแต่กรูคนเดียวนั่นแหล่ะ ไม่ต้องทำห่าอะไรแล้ว" ทำนองนี้ไงล่ะครับ ซึ่งแน่นอนมันไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระยะยาวอย่างยิ่งยวด แต่ทางกลับกัน หากคุณ "อณุญาติ" ให้ลูกน้องของคุณ "เขยิบ" เข้ามาใกล้คุณมากเกิน บางทีคุณอาจจะถูกลูกน้อง "ตบหัวทิ่ม"  "ด่าบุพการี" หรือทำอะไรที่เรามักจะเรียกกันว่า "ลามปาม" เอาก็เป็นได้ เพราะแบบนี้ คุณจึงรู้จักวางตัวไว้ในระยะที่พอดีกับคุณเองแล้วก็ลูกน้องจะดีที่สุด   อย่าให้มันเกิดเหตูการณ์ "บรรลัย" ขึ้นมาได้

          3 : มีความกล้าหาญ เด็ดเดียว และ ดึ๋งดั๋ง!!!!!
     การเป็นหัวหน้าของคนคุณต้องไม่หวาดกลัวต่อความ "ยากลำบาก" "ความอันตราย" และ "ความเจ็บปวด" ใดๆทั้งสิ้น ที่สำคัญ ห้ามใช้ สลิง ห้ามใช้แสตนด์อิน ต้อง "เล่นจริง เจ็บจริง บริหารจริงๆ" ไปเลย เพราะบางทีคุณอาจจะต้องเจอกัับการ "โจมตี" ในรูป "กาย วาจา ใจ" ก็เป็นได้ เพราะแบบนั้นผู้นำต้องกล้าที่จะ "ผจญภัย" ต่อสิ่งเหล่านี้
     ความกล้าหาญจะช่วยให้คุณและลูกน้องสู้ต่องานต่างๆสำเร็จและลุล่วงไปได้ด้วยดี หากแต่คุณมีแต่ความ "กล้าคูณ" โดยไม่มีความกล้าหาร (กล้าหาญ)เลยมันก็คงจะทำให้คุณพุ่งชนความ "บัดซบ" ในหน้าที่การงานในที่สุด     แถมบางครั้งหัวหน้าของบางหน่วยงานอาจจะต้องมีความ "กล้าได้กล้าเสีย" อีกด้วย ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนธรรมดาทั่วไปจะมีเพียงความกล้า (ที่จะ) "ได้เสีย" อย่างเดียวเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า

          4 : ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
     การมี "เพศสัมพันธ์" ที่ดีหาได้ง่ายๆจากคนทั่วไปในสยามประเทศที่มันเริ่มจะ "เจริญลงเรื่อยๆทุกวัน" แห่งนี้ แต่หากคุณเป็นหัวหน้าคนคุณต้องมีอะไรที่มันเหนือชั้นกว่าเพศสัมพันธ์ นั่นคือการมี "มนุษย์สัมพันธ์" ที่ดีเพราะในตำแหน่งหัวหน้ามันจำเป็นที่จะต้อง "ติดต่อประสานงาน" กับเหล่า "ลูกน้อง" หรือ "ลูกค้า" และอาจจะรวมถึง หัวหน้าคนอื่นๆด้วย เพราะแบบนั้น จึงควรรู้จักที่จะ "ผูกมิตรมากกว่าเก่งเพียงแต่การสร้างศตรู" นะครับ
     "การเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง" และหากคุณเป็นคนรู้จักผูกมิตรแล้วล่ะก็ การเริ่มต้นของคุณก็จะไม่ยุ่งยากเลย หากแต่คิดเพียงแต่จะสร้าง "ศตรู" ใช้อำนาจของตัวเอง "วางกล้าม" ข่มคนอื่นจนเป็นที่ "เกลียดขี้หน้า" แล้วล่ะก็ งานที่คุณจะต้องเจอมันอาจจะ "หนักหนาสาหัส" จนคุณเองก็รับมันไม่ไหวเหมือนกันล่ะครับ

          5 : ลูกน้องก็คนนะโว้ย!!!!!!
     ข้อนี้ผมคิดเองเออเองนะครับ เพราะตั้งแต่สมัยทำงานมานานมากแล้่วผมมักจะได้ยินประจำกับคำกล่าที่ "เลิศหรู" ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" และไม่ว่าจะเกิด "ห่าเหวหอกหัก" อะไรขึ้นระหว่างเหล่า "ลูกน้อง" กับ "ลูกค้า" เชื่อเหลือเกินว่า โดยส่วนมาก คนที่ถูกด่าจะเป็นลูกน้อง!!!!
     ครับเคยเจอมาแล้ว ด่าลูกน้องโดนไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นเลย ด่าลูกน้องเสร็จไม่พอ มันยังมีหน้ากลับไป "ขอโทษลูกค้า" อีกทั้งๆที่ คนที่กระทำ "ความผิด" จริงๆคือลูกค้าแท้ๆ ไม่ใช่ลูกน้อง เพราะแบบนั้น หากเกิดเหตการอะไรขึ้น "กรุณา" ถามหา "เหตผล" หรือ "ความเป็นมาเป็นไป" ก่อนดีกว่าจะระบุว่าใครเป็นคนผิด
     ผมคิดเอาว่าหากบอกว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" นั่นหมายถึงลูกค้าจะไม่มีความผิดเชี่ยอะไรเลย ต่อให้ฆ่า "บุพการี" ของใครตายก็ตาม เพราะท่านเป็น "พระเจ้า" นี่นา จริงมั๊ย? หากแต่เราบอกว่า "ลูกค้าสำคัญที่สุด" แบบนี้หมายถึงว่า ลูกค้ามีความสำคัญที่สุด แต่ก็ยังคงเป็นคนซึ่ง "กระทำความผิดได้"        เพราะนั้นหัดเข้าใจความรู้สึกของลูกน้องในหลายๆเรื่องด้วยนะครับ เพราะดีไม่ดี คุณอาจจะโดนลูกน้องด่าเอาใน "ภายภาคหน้า" ได้ว่า "กรูก็เป็นคนนะโว้ย!!!!!!!"




     ครับ นี่คือสิ่งที่หัวหน้าพึงจะมี...แต่กรุณาอย่าคิดนะครับว่าถ้าหากคุณมีครบแล้วมันจะหมายความว่า "คุณเป็นหัวหน้าที่ดีที่สุด" เพราะจริงๆแล้ว หัวหน้าที่ดี จำเป็นต้องมีหลายๆ "ปัจจัย" ประกอบด้วยกันหลายอย่างไม่ใช่เฉพาะ "เรื่องส่วนตัว" หรือ "ส่วนบุคคล" และยังมีในอีกหลายๆสิ่งที่มีความ "สำคัญ" ต่อการเป็นหัวหน้าที่ดีด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าใน "บทความ" นี้ผมยกตัวอย่างมาแต่สิ่งที่ผมเคยได้ "ประสบณ์" มากับตัวเท่านั้น การเป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้มีแค่ 5 ข้อง่ายๆแค่นี้หรอกครับ

     แต่อย่างน้อยผม "เชื่อ" เหลือเกินว่าหากคุณสามารถเป็นอย่างทั้งหมดที่ผมกล่าวมาได้แล้วล่ะก็ ถึงมันอาจะจะทำให้คุณเป็นหัวหน้าที่ดีที่สุดของลูดน้องคุณไม่ได้




"แต่มันต้องทำให้คุณเป้นหัวหน้าที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ"






วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากคืนวันอันแสนซวย


     เนื่องด้วยจากการที่ผมเป็นผู้ที่ "มีจิตรศัทธา" และขาย "วิญญาณ" ให้แก่ ผีสามง่าม "ปิศาจแดง" (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) มาตั้งแต่วัยยังล่ะอ่อน ว่าแล้ววันนี้ผมจะมาเขียนบทความถึงอะไรที่เกี่ยวกับ "ฟุตบอล" สักเล็กน้อย เพราะตอนนี้หากหลายท่านที่เป็นแฟนบอลตัวยงคงจะรู้กันดีว่า เวลานี้คือเวลาที่ "พรีเมียร์้ลีก" ฤดูกาลใหม่ (2011-2012)กำลังจะเดินทางถึงช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อของฤดูกาลแล้วนะครับ (ปลายปี 2011-ต้นปี2012)

     ว่าแล้วเราก็มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

     ย้อนกลับไปเมื่่อวันที่เท่าไหร่ผมเองก็ไม่ทราบ เพราะผมไม่ค่อยอยากจะจำมันสักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นวันที่ แมนฯยูฯ ของผมถูก "เจ้ายุโรป" คนปัจจุบันอย่าง "บาเซโล่น่า" สอนเชิงบอลแบบ "สิ้นสภาพนักศึกษา" ผม ตอนนั้นที่ห่ม "อาภรณ์" ของปีศาจสีแดง รู้สึกเจ็บซ้ำ และน้อยเนื้อต่ำใจถึงอารมส์ของผู้พ่ายแพ้อย่างรุนแรง

     อาการนี้ยังแสดงออกทางนายใหญ่ของค่ายปิศาจ 3 ง่ามอย่าง "ป๋าเฟอร์กี้" เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน อีกด้วย เพราะหากใครได้ดูการถ่ายทอดสดในนัดนั้นแล้วล่ะก็จะเห็นได้ว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ ป๋าแก "กำและเกร็งหมัด" อย่างรุนแรงพลางทำมือสั่น ยิกๆๆๆๆ เหมือนคนที่มี "อาการทางจิต" อย่างไรอย่างนั้น

     บางคนก็ว่า ป๋าแกแสดงออกถึงอาการ "คับแค้น และเคียดแค้นใจ" อย่างรุนแรงในรูปแบบของคนแก่อายุ 70 ปี

     บ้างก็ว่าป๋าแกคงหนาว.....

     แต่สำหรับตัวผม ผมคิดว่าป๋าแกคง "ปวดขี้" มากกว่าล่ะครับ เพราะอาการของแกเหมือนกับผมในเวลาที่ผมกำลัง "อั้นขี้" อย่างไงอย่างนั้นเลยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

     มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าครับ.........

     พลันหลังจากสิ้นสุดเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน ผมลากตัวเองซึ่งอาการนั้นกำลังตกอยู่ใน "ภวังค์แห่งความเสียใจ" และมีอาการเหมือนคน "เซ็กส์เสื่อม" ซึ่งต่อให้นางเอกหนัง AV แดนปลาดิบอย่าง "โซระ อาโออิ" มาแก้ผ้าถ่างขาให้กูดู กูก็ไม่แข็ง!!!!!!!

     ผมเดินผ่านดง (ฝูง) สุนัขหลายตัวที่กำลัง "เห่าหอน" กันอย่างสบายอารมส์ ทั้งๆที่ทีมของตัวเองไม่ได้เข้าชิงแชมป์กับเขาเลยสักหน่อย (หลายคนคงจะรู้ว่าเป็นแฟนของทีมอะไร อิอิ)

     ผมเดินผ่าน ถนนสาย "ปล่าวเปลี่ยว" ด้วยอารมส์ที่ "เปลี่ยวปล่าว" ประกอบกับข้างทางที่ยังคงเสียง "เห่าหอน" ของฝูงสุนัขผู้รักใน "เป็ดสีแดง" อยู่ตลอดเวลา

     พลันใดนั้น ด้วยสายตาที่คมดุจดั่ง "เหยี่ยว" ของผม ผมได้หันไปเห็น เด็กหนุ่มกำลังในคราบสีเสื้อของ "ผีแดง" กำลัง "กระทืบ" สาวสวยผู้หนึ่งที่ใส่อาภรณ์ (น้อยชิ้น) ในคราบของ "บาเซโลน่า"

     ด้วยความที่เป็นคนดีที่ไม่เคย "ฝักใฝ่ความรุนแรง" บวกกับทนเห็นเพื่อนผีแดงด้วยกัน กระทำความรุนแรงต่อ สุภาพสตรี ไม่ไหว (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายหญิงที่ถูกกระทำ ดันอยู่น่า.... เหลือเกิน)

     เพราะงั้น ความเป็น "สุภาพบุรุษ" ในตัวผมเลยบังคับตีนของผมให้ "เดิน" เข้าไปห้ามทัพการบุกโจมตีของ เด็กหนุึุ่่มที่หน้าตาราวกับ "ตะกวดข้างๆวัดร้าง" ทั้งๆที่มันไม่ใช่ธุระห่าเหวอะไรของผมเลย

     ผมซึ่งไม่ค่อยชอบทาน "ใบสะระแหน่" แต่ก็ชอบที่จะ "สาระแน" ซะเหลือเกิน เดินไปบอกกับน้องหนุ่มผู้ มาดแมนแบบหมดแม็กว่า

     "ว่าเวลาน้ำท่วม สิ่งที่ทำเป็นคันกั้นน้ำได้ดีที่สุดก็คือ กระสอบทราย"  

     ถุย์!!!!!!! ไอ้บ้า  ผมได้พูดอย่างนั้นซะที่ไหนกันล่ะครับ ผมเพียงแค่เดินเข้าไปบอกกับน้องเขาว่า "มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ?....ค่อยๆพูดกันก็ได้ นะครับน้อง"

     เท่านั้นแหล่ะ เท่านั้นจริงๆ!!!!

     ด้วยความหวังดี (และกะจะโชว์ความเป็นยอดคนสุภาพบุรุษต่อหน้าหญิงแสนสวยที่ถูกทำร้าย) ผมได้พูดไปเท่านั้นจริงๆ ก่อนที่ไอ้เด็กหน้าตาไม่ได้แตกต่างจาก "ปลากะโห้" สักเท่าไหร่ หันกลับมาเห่าใส่ผมว่า

     "มรึงเสือกอะไรของมึงวะ?"

     อ้าว ไอ้เชี่ย!!!.....นี่ กรู "หวังดี" นะโว้ยถึงได้เข้ามาห้ามทัพสหบาทาที่พุ่งใส่หน้าของน้องเขา แต่ความหวังดีของกรูกลับไม่มีผลอะไรกับคนที่หน้าตาเหมือน "ปลากะโห้" ไม่พอ แต่ยังดึงดูด สัตว์น้ำที่เรียกว่า "ปลาตีน" อีกต่างหากอย่างมรึงเลยเรอะ?

     ว่าแล้วมันก็ทำหน้าไม่พอใจและทำท่าจะเอาตีนมามันยัดเยียดให้ผมกิน ผมก็สวนออกไป (ด้วยคำพูด) ว่า

     "ไม่หรอกครับน้อง พอดีนึกว่าน้องมีเรื่องกัน ก็เลยจะเข้ามาห้ามน่ะครับ"

     "ใครใช้ให้มรึงมาวะ?"    แน่ะ มันยังมีแถม

     อ้าว ...  ไอ้น้องคนนี้มันยังคงกวนตีนไม่เลิกครับ และท่าทางตอนนี้มันจะเบนเข็มมาเล่นงานผมด้วยอีกคน

     เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงต้องโชว์ความ "แมน" อย่างเต็มที่ด้วยการ หยุดพูดกะไอ้หน้าปลากะโห้ แล้วหันมาพยุงน้องผู้หญิง ที่อยู่ในสภาพนุ่งน้อยห่มน้อยให้ลุกยืนขึ้นมา

     สารภาพตามตรงนะครับ ว่าน้องคนนี้จัดอยู่ในประเภท "อู๊ย ซี๊ด~~~~~" เลยที่เดียวเชียวครับ ซึ่งอรมส์นั้นที่ผมเห้นน้องเขายืนขึ้นมา ผมนึกถึง "หนังเรท X" ขึ้นมา ในท่วงท่าที่พระนาง กำลังจะ "สำเร็จวิชาตัวเบาพอดีเลยล่ะครับ"

     "น้องเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?" คือคำถามแรกที่ผมถามเจ้าหล่อนไป

     สาวนางนั้นหันมาแลวพูดกับผมว่า   "พี่มาเสือกอะไรกับเรื่องผัวเมียของชาวบ้านเขาคะ"

     !!!!!!!!!! ผมตกใจเป็นภาษาฮ่องกง อย่างจัง ก่อนความคิดที่ว่า "อ้าวเชี่ย นี่กรูมายุ่งเรื่องชาวบ้านเหรอเนี่ย?"จะตามมาติดๆกับอาการ "ตกใจ"

     ................

     ...............................

     อายสิครับงานนี้ อายจนแทบเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีกันเลยทีเดียว  ว่าแล้วผมก็รีบผละออกจากสถานที่เกิดเหตุโดยไม่ต้องรอให้ (ไอ้) 2ตัวนั่นมันพูดห่าเหวหอกหักอะไรใส่ผมอีกก่อนจะใส่ "เกียร์หมา" เต้มตีนเตี่ย วิ่งหายวับเข้าไปในความมืดราวกับ "ผีเดินทะลุต้นไม้"

     ก่อนจะมาคิดทีหลังว่า วันนี้ผมช่าง "ซวยมหาซวย" อะไรเช่นนี้

     ว่าแล้วนิทานที่ผมได้ประสบณ์กับตัวเองมามันสอนให้ผมได้รู้อะไรบางอย่างล่ะครับ




"กรุณาอย่าสาระแนเรื่องของชาวบ้านเขา"