วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"คนอยากจะอยู่" และ "คนอยากจะไป"


   คนเราทุกคน หากจะ "เลิกรา" กับใครสักคนหนึ่ง มันคงจะเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ และยิ่งถ้าหากการเลิกราของความรักมันขึ้นอยู่กับคนเพียงแค่ 2 คน มันคงจะเป็นการยาก ที่คนหนึ่งคนจะดึงรั้งคนที่ "อยากจะไป" ให้อยู่ต่อ

     ความอกหักไม่ใช่สิ่งที่ "คู่รัก" ทุกคู่ พึงประสงค์จะพบเจอ แต่หากการเจอกับมัน ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันเพราะถ้าหากความรักนั้นยังคงไม่ใช่ "รักที่ใช่" ต่อให้รักกันปานไหน สุดท้ายก็อาจจะจบที่คำว่าเลิกรา

     และเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้เราทุกคนก็ต้องยอมรับและเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ทั้งๆที่บางครั้ง เราก็ไม่ค่อยเต็มใจจะรับมันสักเท่าไหร่

     เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนผมคนหนึ่งมันอกหักจากความรักกับสาวสวยระดับ "นางเอกหนัง AV" นางหนึ่ง

     ด้วยความสงสารบวกสงสัย และอยากเสือก ผมจึงถามหาเหตุผลของความ "ฉิบหาย" แห่งรักครั้งนี้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน

     มันตอบสั้นๆง่ายๆแบบงงๆครับว่า "คนล่ะเหตผลกัน!?!"

     ด้วยความเคารพ ว่าแล้วผมเลยพูดปลอบใจกลับมันไปสั้นๆง่ายๆ แบบไม่งงๆว่า "เหี้ย!?!"

     คือ อะไรของมรึงคร๊าบ กรูถามเพื่อจะรับความกระจ่าง แต่พี่แกดันตอบกลับมาให้ผม งอ งู 2 ตัวซะอย่างนั้นแหล่ะ

     อาจจะเพราะด้วย สาระเหยที่เรียกกันง่ายๆว่า "Lกฮ" ยังไม่ซึมไปเข้าในกระแสเลือดของมันมากเท่าที่ควรมันจึงทำให้เพื่อนผมคนนี้ตกอยู่ใน "ภวังค์" แห่งความเศร้าจน พูดอะไรไม่เคลียร์

     ก็มันเล่นพูดราวกับว่าวิญญาณ "ศิลปิน" เข้าสิงในตัวมันอย่างไรอย่างนั้น เพราะพูดอะไรออกมา ผมและเพื่อนๆฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ราวกับว่าต้องใช้ "จิตวิญญาณของศิลปิน" ในการรับฟังเท่านั้น ถึงจะฟังรู้เรื่องและเข้าใจ ในความหมายที่แท้จริง

     แต่หลังจากผ่านวาระ "ดื่มจนได้ที่" อาการเมาก็เริ่มแสดงให้เห็น และเมื่อมีอาการเมาออกมาจนเข้าที คราวนี้ไม่ต้องถามเหี้ยอะไรเลยครับ เพื่อนผมอยู่ๆมันก็พูดอกมาเองว่า

     "กรูน่ะอยากให้เขาอยู่ แต่ตัวเขาน่ะอยากจะไป"

     ก่อนจะร้องไห้ราวกับท่อประปาแตกแถวสี่แยกไฟแดงก็ไม่ปาน เดือดร้อนผมและเพื่อนต้องช่วยกันปลอบใจมันอีก

     สุดท้าย มันก็เมา "หลับเหมือนหมา" ทั้งคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มที่มาจากการร้องไห้ตลอดเวลาในขณะที่กำลังนั่งดื่ม "น้ำแห่งการเข้าสงคม"

   
  "คนอยากจะอยู่และคนออยากจะไป"


     ความรักอาจจะมีคนแค่ 2 ประเภทนี้จริงๆก็เป็นได้นะครับ

     ไอ้ตอนที่รักกันดี มีความสุขกันตลอด หวานกันแบบไม่เกรงใจน้ำตาล ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายคงมีความรู้สึก "อยากจะอยู่" ด้วยกันทั้งคู่ จึงทำให้ความรักมันช่าง "โรแมนติก" และ "สดใส" ซะเหลือเกิน

     รักกันใหม่ๆ อะไรๆก็ดูดี ขนาดขี้ยังไม่เหม็น

     ไปไหนก็จะไปด้วยกัน เดินจูงมือกัน เป็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็จะคอยถามหา คอยเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา และจะคอยเติมเต็มความรักกันแบบ ไม่อายฟ้าสางเทวดา

     นั่นแหล่ะครับ เรียกว่าอาการของ "คนอยากจะอยู่"

     แต่พออยู่กันไปนานๆ เมื่อเริ่มที่จะเรียนรู้ "สันดานของกันและกัน" มากขึ้นความรักมันก็เริ่มจะ "จืดจาง" เหมือนกับเหล้าที่ถูกผสมโดยโซดามากขึ้นจนบางครั้งอาจจะทำให้เกิด ความรู้สึก "อยากจะไป" ขึ้นมา

     ครั้งหากเกิดความรู้สึกว่า "อยากจะไป" ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย การเลิกลานั้นอาจจะจบลงด้วยการ "จากกันด้วยดี" ก็เป็นได้

     แต่หาก ความความรู้สึก "อยากจะไป" ที่ว่า เกิดขึ้นแค่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นล่ะก็ ทีนี้เป็นเรื่องเลยล่ะครับ

     ไอ้คนที่ "ยังรัก" และยังคง "อยากจะอยู่" ก็จะทำทุกวิถีทางให้อีกฝ่ายหนึ่งอยู่กับอีกฝ่ายต่อไปให้ได้ แต่ไอ้ฝ่ายที่ "หมดรัก" และ "อยากจะไป" ก็จะทำทุกวิถีทางเช่นกันเพื่อที่จะไปจากอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ได้

     พอเกิดอาการแบบนี้ จากเมื่อก่อนที่เคยดูแลกัน ห่วงใยกัน กลายสภาพมาเป็น "ไม่อยู่ในสายตา" ซะอย่างนั้น ขนาดที่ว่า ถ้าเราเดินเอาหัวไปโขกกับกำแพง แทนที่จะเดินมาดูหัวของเราก่อนว่าเป็นอะไรมั๊ย แต่พี่แกดันเสือกไปดูกำแพงก่อนเลยว่า มันเป็นรอยรึเปล่า? เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า "กรูเป็นห่วงกำแพงมากกว่ามรึงนะ" ฮ่าฮ่า

     ไอ้คนรั้งเองก็เสียใจนะครับที่รู็ว่า ต่อให้รั้งยังไงคนอยากไป มันก็ยังอยากไปอยู่ดีนั่นแหล่ะครับ จนบางครั้งมันก็จะเป็นหนามที่คอยทิ่มแทงตัวเองตลอดเพราะ ขาดเขาไปเราก็อยู่ไม่ได้ แต่ดึงรั้งเขาไว้เขาก็อยู่แบบไม่เต็มใจที่จะอยู่ เพราะหมดรักกันแล้ว

     ไม่รู้จะสงสารใครดีนะครับ ระหว่างคนที่อยากไปแต่ถูกดึงรั้งให้อยู่ กับคนที่ดึงรั้งให้อยู่ทั้งๆที่อีกคนอยากจะไปแล้วตาม

     ผมเองขอสารภาพแบบไม่อายฟ้าเลยตรงนี้ครับว่าทุกครั้งที่มีความรัก ผมไม่เคยมีความรู็สึกเป็น "คนอยากไป" เลยสักครั้ง (เนื่องด้วยผมเป็นคนรักใครแล้วรักจิง หวังอึ๊บจริงๆ ฮ่าฮ่า)

     แม้อาจจะมีบางครั้งที่ผมอาจจะรู้สึก "เบื่อและรำคาญ" คนข้างกายจนอยากจะให้เธอผู้นั้นออกไปห่างๆกายผมบ้างก็ตาม แต่ไม่เคยมีสักนิดที่มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างการ เลิกรา

     แต่ดูเหมือนฟ้าคงจะเกลียดในตัวของผมมาก ท่ายจึงสาปแช่งให้ทุกครั้งที่ผมมีความรัก คู่ขา (แฟน) ของผมจะมีอาการรู้สึก "อยากจะไป" เป็นประจำ จนทำให้ท้ายที่สุด ผมต้องอกหักรักคุด ตุ๊ดเมิน มากนับต่อนับ

     ทั้งๆที่ฟ้าส่งผมมาเกิดเป็นคนแบบไม่ค่อยปรกติทั้ง "หน้าตาและนิสัย" แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังคงตามกลั่นแกล้งตัวผมแบบไม่หยุดหย่อนอีก สงสัยชาติที่แล้วผมคงทำบาปเอาไว้มาก ฮ่าฮ่า

     ไม่รู้ชาตินี้ผมจะเจอกับใครสักคนรึเปล่านะครับ ที่มีความรู้สึก "อยากจะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต" อันนี้ก็ต้องดูกันไปนาน

     .................

     อย่างที่บอกล่ะครับ คนอยากจะอยู่ ก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกัน เช่นเดียวกันกับคนอยากจะไป ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อจะตีจากไปให้ได้

     ผมขออวยพรให้นะครับ อวยพรให้ทุกคู่รักที่ยังคงรักกัน มีความรู้สึกที่ "อยากจะอยู่" ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายไปนานๆ เท่าที่จะนานได้

     แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เกิดมีความรู้สึกว่า "อยากจะไป" ขึ้นมาล่ะก็


 "ถึงตอนนั้นก็ตัวใครตัวมันล่ะครับ!?!"

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ว่ากันด้วยเรื่องของความรัก

   
     เป็นปรกตินะครับที่คนเราจะมีความรัก เพราะหากคุณเกิดมาเป็นคนๆหนึ่งมันก็เป็นธรรมดาครับที่คุณก็ต้องผ่านประสบการณ์ความรักมาบ้างไม่มากก็น้อย

     มันคงจะไม่มีใครเชื่อหรอกครับ หากคุณจะบอกว่า คุณเป็นคนที่ไม่เคยมี "ความรัก" หรือ "ไม่เคยรู้สึกรักใครเลย" เพราะถ้าคุณพูดมา ต่อให้เป็นควายมันยังรู้เลยครับว่าคุณ "โกหก" ก็คิดดูสิครับว่าขนาด หมา มันยังรู้จักความรักเลย และถ้าคุณเกิดมาเป็นคน แต่กลับไม่รู้จักกับความรักจริงๆ กรุณาคิดเองนะคับว่าคุณสมควรเป็นคนหรือไม่

     ส่วนถ้าเป็นผม ผมคงจะคิดแล้วล่ะครับว่าคุณ "อาการหนักกว่าหมา"  ฮ่าฮ่าฮ่า

     คนเราทุกคนโดยส่วนใหญ่โหยหาความรักกันทั้งนั้นแหล่ะครับ และทุกครั้งที่ความรัก ไม่ว่าจะในรูปไหนก็ตามเข้ามาในชีวิตเรา มันจะไม่มาเปล่าๆ แต่จะเอาอะไร 2 อย่าง ที่มนุษย์ทุกคนอยากได้และไม่อยากได้ที่สุดมาแถมเป็นของกำนัลอีกด้วย

     อย่างแรกคือสิ่งที่ทุกคนอยากได้ที่สุด และสิ่งๆนั้นมันก็มักจะมาพร้อมกับความรักอยู่เสมอๆนั่นคือ "ความสุข" 

     แหม  ไม่รู้ทำไมนะครับทุกๆครั้งที่คนเรามีความรัก อะไรในโลกใบนี้มันช่างดูสดใสเสียเหลือเกิน ไม่ว่าเรื่องเหี้ยๆอะไรเราก็สามารถมองให้เป็น "เรื่องดีๆ" และ "ความสุข" ได้ตลอดเวลา โดยที่ปรกติเรามักจะมองแต่ด้านร้ายๆของเรื่องเหี้ยๆนั้นมาตลอด แต่พอความรักเข้ามา มันกลับเปลี่ยนแปลง "เรื่องเหี้ยๆ" ให้กลายเป็น "เรื่องดีๆ" ได้เสมอแหล่ะครับ

     ลองสังเกตดูสิครับว่าถ้าคนหนึ่งคนต่อให้เจอ "ปัญหาร้ายแรงระดับชาติ" เพียงใดๆ แต่ถ้าคนๆนั้นยังคงกินดี ขี้ออกไ้ด้และเดินยิ้มหราแบบไม่สะทกสะท้านราวกับ "คนบ้า" ให้คิดได้เลยครับว่า คนๆนั้นกำลังประสบเข้ากับ "ความรัก" เข้าอย่างจังและอย่างรุนแรงด้วย เพราะถ้าไม่มีความรัก คงไม่มีใครมาเดินยิ้มเหงือกบานตอนที่กำลังเจอเรื่องร้ายๆหรอกครับ

     ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนผมคนหนึ่ง (ขออณุญาติสงวนนาม) บอกว่า  "ถ้าหากกรูได้รักกับคนที่กรูรักจริงๆ กรูจะยอมนั่งขี้กลาง 4 แยกไฟแดงให้พวกมรึงดูเลย" 

     เห็นมั๊ยครับ ความรักมันทำให้คนมีความสุข แถมมันยังทำให้เพื่อนผมที่ "ประสาทแด๊กอยู่แล้วกลับยิ่งประสาทแด๊ก" กว่าเดิมอีก ฮ่าฮ่า

     แต่สุดท้าย มันก็ไม่ได้ขี้กลาง 4แยก หรอกครับ เพราะเพื่อนของผมคนนี้มันไปไม่ถึง "ฝั่งฝัน" เพราะงั้น จากนั่งขี้ มันเลยเปลี่ยนมาเป็น "นั่งร้องไห้" กลาง 4แยกไฟแดงซะแทน บ้าหนักกว่าเดิมอีกครับทีนี้ ฮ่าฮ่า

     นอกเรื่องมานานแล้ว เข้าเรื่องดีกว่าครับ...

     เคยมีคนบอกผมไว้ว่า ความสุข ที่ได้จากการที่ใครสักคนมอบ "รักแท้" ให้กับเรา นั่นคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คนหนึ่งคนพึงจะได้รับ

     อันนี้จะเป็นจริงอย่างที่เขากล่าวมารึเปล่าผมเองก็มิอาจจะรับทราบได้ แต่อย่างน้อย สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ทุกครั้งที่ตัวผมเอง มีคนรัก  ความรักที่ผมได้จากคนรักของผมมันมักจะเปลี่ยน โลกรอบๆตัวของผมให้สดใสและน่าอยู่ขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย มันคงจริงเหมือนกับที่ คนไทยนิยมพูดกันบ่อยๆว่า "ความรักทำให้โลกเป็นสีชมพู" นั่นแหล่ะครับ

     แต่ถึงกระนั้น บางครั้งความรักยังนำพามาซึ่ง สิ่งที่มนุษย์ไม่พึงประสงค์จะพบเจอที่สุด นั่นคือ "ปัญหา"

     แน่นอนล่ะครับ การใช้ชีวิตคู่ นอกจากเราจะได้ ความสุข แถมมาเป็นของกำนัล แล้ว บางครั้ง มันอาจจะพ่วงติดมาด้วยกับสิ่งที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า "ปัญหา"

     ทำไมถึงเรียกว่า ปัญหา อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับ บางคนอาจจะเรียกอย่างอื่นก็ได้ แต่โดยส่วนตัวที่ผมประสบพบเจอมา เวลาเห็นเพื่อน "ทำหน้าเป็นหมาโดนกรทืบ" ผมมักจะถามเพื่อนเสมอๆ (ด้วยความอยากรู้อยากเห็น) ว่า "มรึงเป็นอะไรวะ?"

     และส่วนมากคำตอบที่พ่นออกมาจากรูปากของเพื่อนผมมันก็มักจะเป็น "กรูมีปัญหากับแฟนว่ะ"

     เรียกได้ว่า ถามเพื่อนซะ 10 คนตอบแบบนี้ ซะ8 คนแล้ว ที่เหลืออีก 2 มันก็มักจะตอบว่า "แฟนกรูมีปัญหาว่ะ" 

     ยังๆไงซะมันก็ยังวนๆอยู่แถวๆ ปัญหากับแฟน อยู่ดีนั่นแหล่ะครับ ฮ่าฮ่า

     ปัญหาที่เกิดกันระหว่างคนรักกันส่วนมากก็มักจะเป็น อาการที่เรียกกันง่ายๆว่า "การงอนกัน" หรือ การเห็นอะไรไม่ตรงกันแล้วมานั่งเถียงกันว่าใครผิดใครถูก จนบางครั้งมันอาจจะลามปามกลายไปเป็นการ"ทะเลาะ" ก่อนที่ในท้ายที่สุด มันอาจจะเลยเถิดไปถึงการ "เลิกรา" ซึ่งเป็นขั้นสุด ที่ ไม่มีใครหน้าไหนอยากจะประสบกับมัน

     ในขั้นที่ 1 การ "งอน" กัน อาจจะยังไม่เป็นปัญหาอะไรมากมายสักเท่าไหร่ ซึ่งบางครั้ง อาการนี้ อาจจะเกิดขึ้นเพราะมีคนจงใจจะทำให้มันเกิดอย่าง เช่น บางครั้งเรามักจะเห็นผู้ชายชอบแกล้งให้ฝ่ายหญิงงอนอยู่บ่อยๆ โดยมักให้เหตผลว่า "เวลาผู้หญิงงอน เขาจะดูน่ารัก" แล้วค่อยไปตามง้อเอาทีหลัง หรือ บางทีฝ่ายหญิงมักจะชอบงอนผู้ชายแบบไม่มีเหตผล เพื่อที่จะให้ฝ่ายชายตามง้อ โดยที่จริงแล้วหล่อนไม่ได้โมโหอะไรมากมาย แต่จะมานั่ง ยิ้ม หรือ หัวเราะ อยู่คนเดียว เพราะดีใจที่ฝ่ายชายตามมาง้อ

     ซึ่งบางที อาการเหล่านี้ยังอาจจะสร้างความสุขให้กับผู้ที่พบเห็น หรือแม้กระทั่ง "ตัวผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ" เอง บางที ยังรู้สึกมีความสุขเล็กๆกับสิ่งเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ

     แต่หากมันแปลเปลี่ยนจากขั้นที่ 1 กลายมาเป็น "ขั้นกว่า" ซึ่งนั่นก็คือการ "ทะเลาะ" กัน มันอาจจะนำพามาซึ่งความ "ฉิบหาย" ซึ่งนั่นก็คือ "ขั้นสุด" ของการทะเลาะกัน คือการ  "เลิกรา" ของการใช้ชีวิตคู่เลยก็ได้นะครับ

     แต่ทั้งๆที่คู่รักส่วนมาก รู้ว่าหากเกิดการ ทะเลาะกันขึ้น มันอาจจะนำพามาซึ่งความฉิบหายของความรัก แต่พวกเขาโดยส่วนมากก็ยังไม่วายหาเรื่องที่จะทะเลาะกันในสิ่งที่บางครั้งเราเรียกกันว่า "ปัญญาอ่อน" อีกนะครับ

     ตัวอย่างที่ง่ายที่สุด ผมเคยทะเลาะกับผู้หญิงคนหนึ่งจนเกือบถึง ขั้นแตกหัก เพราะเพียงแค่เราเถียงกันว่า หนังเรื่อง "วงษ์คำเหลา" กับหนังเรื่อง "Transformers: Revenge of the fallen" เรื่องไหนมันจะสนุกกว่ากัน ยังจำได้อยู่เลยครับว่า ตอนนั้นเถียงกันแบบเอาเป็นเอาตาย เรากับอีกฝ่ายมา "สังหารบุพการี" ของอีกฝ่ายก็ไม่ปาน
 
      ก่อนที่สุดท้าย "จะมาคิดได้ว่า มันหนังคนล่ะแนวกันเลยนี่หว่า แต่...สนุก แมร่ง ทั้ง 2 เรื่องเลย"       แล้วที่อุตส่าเถียงกันน่ะ พวกเราเถียงกันหาพระแสงเลเซอร์อะไรก็มิทราบ เพราะสุดท้าย ทั้งผมและหล่อน ก็ดูแมร่ง มันทั้ง 2 เรื่องเลย

     แถมออกจากโรงหนังมา ฝ่ายที่ว่าหนังของอีกฝ่ายไม่ดีก็ไม่เห็นมีใครจะบ่นอะไรเลยสักคำ อุตส่าเถียงกันเกือบตาย สุดท้ายก็ "ได้เสีย" มันทั้ง 2 เรื่องซะอย่างนั้น ฮ่าฮ่า

     อย่างที่บอกนั่นแหล่ะครับว่า เพราะคู่รักในประเทศไทยซะเป็นส่วนมาก ยังคงใช้ "สมองและหัวใจ" คิดแยกกันเสมอ เลยทำให้บางครั้ง มันเลยเกิดเรื่องที่ไม่หน้าจะเกิด จนกลายเป็น ปัญหาใหย๋โตจน คนแค่ 2 คนแก้ไขไม่ได้

     ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับ ทำไมคนเราถึงไม่ใช้ "ทั้งสมองและหัวใจ" คิดด้วยกันเลย มันจะได้ไม่น่าที่จะเกิดเรื่อง ปัญญาอ่อนแบบนี้ขึ้นมาอีก (อันนี้ผมก็คิดเอาเองนะครับ) เพราะทุกครั้งเวลาเกิดเรื่องขึ้นและเหตการณ์มันบานปลาย คนที่จะมานะัั่งเสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายราวกับหมาใกล้ตาย ก็เป็นตัวเราเองนี่แหล่ะครับ

     แถมบางครั้งหากเกิดขึ้นสักครั้ง 2 ครั้ง แล้วคนเรารู้จัก "ปรับเปลี่ยนปรับปรุง" นิสัยให้มันดีขึ้น มันก็ดีไป แต่นี่บางที่เกิดเหตการณ์แบบนี้เป็นสิบๆครั้งแล้วยังไม่ยอมปรับปรุบ "นิสัยเหี้ยๆ" ของตัวเองเลยสักนิด สุดท้ายปัญหา ก็จะตามมาเหมือนเดิมอีีกนั่นแเหล่ะครับ

     ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับ ทั้งๆที่บางคนก็ "โตพอ" แถมยังมี "วุฒิภาวะ" และมี "สติ" ในการตัดสินใจในเรื่องอื่นๆได้เป็นอย่างดี แต่พอกับเรื่องของคนรัก บางครั้งเขาก็ทำตัวเป็นเด็ฏๆให้เกิดปัณหาอีกจนได้

     เหตผลง่ายๆ ก็อย่างที่บอกในตอนแรกเพราะ "ความรัก" ไงล่ะครับ นำมาซึ่่งบางสิ่งที่จะทำให้เป็นปัญหา

     ลองคิดดูง่ายๆแล้วกันนะครับว่า ลองสังเกตดูสิครับ ว่า ปัญหาที่เกิดกับ "แฟน" ของเรา มันมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับ "เพื่อน" ของเรา สักเท่าไหร่ นั่นเพราะเราไม่ได้ รักเพื่อนเท่ากันกับ รักแฟน ของเรานั่นแหล่ะครับ

     แต่ถึงแม้ บางครั้ง....ความรักอาจจะนำมาซึ่งปัญหาที่คนไทยโโยส่วนมากไม่อยากจะเจอ แต่พวกเราก็ยังไม่วายที่จะโหยหาความรักกันต่อไป เพราะอะไรน่ะเหรอครับ?

     อย่างที่บอกในตอนต้นนั่นแหล่ะครับ ความรักมันไม่ได้นำมาซึ่ง ปัญหา เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

     แต่มันยังนำมาซึ่ง "ความสุข" ที่คนๆหนึ่งพึงปราถนาจะได้พบเลยทีเดียวครับ เพราะงั้น ถึงแม่บางครั้ง เราอาจจะเจอปัญหาบ้าง แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง

     แต่หากทั้งชีวิตของคุณ มีความรักกี่สิบครั้ง และทุกครั้ง มันนำพามาซึ่ง "ปัญหา" และลงท้ายด้วยคำว่า "เลิกรา"เสมอ กรุณาลองคิดเอาเองนะครับ.....

     เพราะขนาดหมามันมีความรักมันยังไม่ค่อยจะมี ปัญหาอะไรเลย (เรื่องหมาๆ ถามผมได้ครับ ผมรู้ดี)

     แล้วคุณที่เป็นคนแท้ๆ แต่กลับมีปัญหาทุกครั้งที่มีความรัก

     เพราะอย่างนั้นกรุณาคิดเอานะครับว่า.....




  "คุณกับหมาใครมันอาการหนักมากกว่ากัน!?!"

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"โง่ที่สุด ฉลาดที่สุด"


"โง่ที่สุด ฉลาดที่สุด"

คำๆนี้หลุดออกจากปากพี่ชายไม่แท้ของผมคนหนึ่ง ซึ่งผมนับถือมากและให้ความเคารพในตัวแกในฐานะของ "ผู้รอบรู้ในโลกกว้าง" คือ แม่ง...ผ่านมาหมดในทุกๆอย่างที่เป้นความระยำ

ครับ....แกสอนผมให้รู้ในเรื่องต่างๆในด้านที่ไม่ดีของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสพยา การเที่่ยวกะหรี่ การมั่วหญิงไม่เลือกหน้า การเที่ยวจนไม่เป็นอันทำงานทำการ รวมไปถึง การร่วมหลับนอนกับผู้ชายด้วยกันเอง และอีกหลายๆอย่างที่แกเคยผ่านปแระสบการณ์มาจริงๆ

แหม ว่าทำไมพี่แกถึงเล่าได้ "เหมือน และ เนียน" ขนาดหนัก ก็เพราะพี่แกผ่านอะไรที่คนทั่วๆไปเรียกว่า "ระยำ" มาเกือบหมดทุกรูปแบบแล้วนั้นเอง เพราะแบบนั้นเวลาที่แกถ่ายทอดหระสบการณ์ มันจึงเป็นอะไรที่ถึงพริกถึงขิง และน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง ฮ่าฮ่า

บอกตามจริงเรียนตามตรง ไอ้ผมตอนแรกๆก็ขี้เกียจจะฟังที่พี่แกพูดอยู่เหมือนกันล่ะครับ เพราะ สิ่งที่พี่แกพูดมาบางเรื่องมันมักจะออกแนว "ขี้โม้" ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องทนจำใจนั่งฟัง (เพราะมันเป็นพี่กู) โดยไม่มีเสียงวิพากย์วิจารณ์ออกมาจากปากของผม และผู้ที่ได้นั่งฟังแกบริจาคประสบการณ์

แต่บางเรื่องที่แกพูดกลับสอนเราและทำให้เราได้รู้อะไรอีกหลายๆอย่างในโลกอันกว้าใหญ่ที่ แระบางเรื่องเราสามารถนำมาใช้จริงใน "ชีวิตประจำวัน" ของเราได้ด้วยครับ

แต่ประโยคที่ผมติดใจและ "เห็นคล้อย" ตามแกมากที่สุดน่าจะเป็นประโยคที่ขึ้นต้นบทความข้างบนนั่นแหล่ะครับ

"โง่ที่สุด ฉลาดที่สุด"

หะแรกที่ได้รับฟังผมถึงกับบ่นกับตัวเอง (ในใจ) ว่า "เหี้ยอะไรอีกวะ โง่ที่สุด ฉลาดที่สุด งงว่ะ?" พร้อมกับเอ่ยปากว่า "อะไรของพี่น่ะ พี่เมาแล้วรึเปล่า?"

พี่แกตอกกลับผมมาว่า "ไอบอล มรึงไม่เข้าใจเหรอวะ การที่มรึงจะฉลาดที่สุด บางที มรึงต้องทำตัวเองให้โง่ที่สุดก่อน ถึงจะฉลาดได้"

ผมจึงถามกลับไปว่า "ยังไงพี่ ถ้าโง่ที่สุดแล้วจะฉลาดที่สุดได้อย่างไรกันล่ะ ฮึ?"

"งั้นพี่จะยกตัวอย่างเรื่อง '1 ถึง 10' ให้ฟังง่ายๆนะ .... วันนึง มรึงไปเจอกับคนๆนึง เขามาสอนมึงเกียวกับเลข 1 ถึง เลข 7 เขาสอนและเขาอธิบายเกี่ยวกับการนับเลขให้มรึงฟังทุกอย่าง.....จนมรึงคิดว่า เออ...กรูรู้จักตั้งแต่เลข 1 ถึง 7 แล้ว กรูรู้มากแล้ว เพราะกรูรู้มาตั้ง 7ใน10 แล้ว นั่นแสดงว่ากรูเป็นคนฉลาด" เสียงของพี่แกถูกปล่อยออกมาพร้อมกับกลิ่น Lกฮที่เจือจางอยู๋ในรูปาก

ก่อนจะพูดต่อว่า "แต่พอมาอีกวัน ถ้ามรึงมาเจอกับคนอีกคนที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องเลข 5 ถึงเลข 10 แล้วมรึงดันมาออกตัวก่อนว่า มรึงอ่ะ ฉลาดแล้ว รู้มามากแล้ว พูดเกทับจนอีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่อยากพูด และเมื่อในที่สุดเขาไม่พูด มรึงก็จะไม่รู้การนับเลข 7 ถึงเลข 10 เลย!! เพราะมรึงดันไปอวดตัวว่ามรึงฉลาดแล้ว ทั้งๆที่ความจริง ถึงมรึงจะรู้มาก แต่มรึงก็ยังรู้ไม่หมดแถมในเลข 1 ถึงเลข 2 ยังมี 1.1 ถึง 1.9 อีกต่างหาก แบบนั้นเมื่อไหร่ มรึงจะรู้จักเลข 1 ถึงเลข 10 จริงๆซะทีล่ะ จริงมั๊ย?"

"เออ ที่พี่บ่น เอ้ย...พูด มันก็ถูกครับ"

ก่อนที่พี่แกจะตบท้ายว่า "มรึงจำไว้นะว่า 'จงรู้ทุกอย่างในบางอย่าง ไม่ใช่รู้บางอย่างในทุกอย่าง' ไม่งั้นชาตินี้ยังไงมรึงก็ไม่มีทางฉลาดหรอกว่ะ"

.................................................
..................................................
.......................................................

เรื่องที่แกเล่ามันผ่านมานานมากแล้วจนผมเองก็ลืมในสิ่งที่แกบอกผมมาเหมือนกัน แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมดันไปเป็นรูปแกโผล่หราอยู่ใน "เปรตบุก" (Facebook) ประโยคที่ว่า "โง่ที่สุด ฉลาดที่สุด" ก็ดังก้องอยู่ในหัวผมขึ้นมาซะเฉยๆ

สิ่งที่พี่แกพูดมาจริงไม่จริงผมไม่รู้ แต่ผมเองก็ได้เห็นมาหลายครั้งแล้ว สำหรับคำว่า "อวดฉลาด" จนทำให้บางที่คนๆนั้นพลาดในการได้รับรู้บางเรื่องที่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

คิดง่ายๆว่าหากสมมุติคุณเป็นอาจารย์ที่จะไปสอนเด็กคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการนับเลข 1ถึง 10 แต่เด็กคนนั้นกลับบอกคุณว่า "จารย์ฯ ผมรู้เยอะแล้ว จารย์ฯ สอนอย่างอื่นเหอะ มันน่าเบื่อว่ะจาย์ฯ ไม่แนวเลยว่ะ!!" คุณที่เป็นครูยังอยากจะสอนเด็กคนนั้นอีกรึเปล่าล่ะครับ?

ถ้าเป็นผม ผมคงคิดในใจว่า "แมร่งเด็กสมัยนี้ กวนตีน น่าถูกกระทืบจริงๆเลยว่ะ" ฮา

แต่ในทางกลับกันถ้าคุณเป็นนักเรียน แล้วคุณครูจะมาสอนเกี่ยวกับเลข 1 ถึง 10 แล้วคุณบอกอาจารย์ว่า  "อาจารย์ครับ....ผมโง่ ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเลข 1 ถึง 10 เพราะงั้นอาจารย์ช่วยสอนให้หมดทุกซอก ทุกมุม ทุกอย่างของวิชานี้เลยนะคับ"

ก่อนอาจารย์จะตอบว่า "อะไรนะ ไม่รู้อะไรเลยเหรอ?...ทำไมเธอถึงโง่แบบนี้ งั้นมาเดี๋ยวครูจะสอนให้หมดทุกซอกมุมเลย"

และสุดท้าย...คุณก็จะได้เรียนรู้หมดทุกอย่างตั้งแต่เลข 1ถึง10 เพราะคุณดันเป็นคนอวดความโง่ให้เขาเห็น แต่ไอ้คนที่อวดฉลาด ดันรู็แค่เลข 1ถึง7 เท่านั้น (แต่หากคุณครูสอนหมดทุกอย่างแล้ว คุณยังไม่เอามันเข้าไปเก็บไว้ในสมอง คุณคงเป็น "คนโง่ที่โงหัวไม่ขึ้น" แล้วล่ะครับ)

 ในบางครั้งการอวดว่าคุณฉลาด บางที่มันอาจจะทำให้คุณกลายเป็นคนโง่ที่สุดในสายตาของเพื่อนๆไปเลยก็ได้นะครับ

ไม่ต้องกลัวนะครับว่าถ้าหากคุณแสดงตัวเป็นคนโง่ แล้วจะมีคนมาดูถูกคุณ มาล้อ มาว่าคุณ เพราะการดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่านั้น เป็น "สันดาน" ของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้อยู่แล้ว (โดยเฉพาะบางคนที่เรียนจบปริญญาโท แต่ดันพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นสักตัวแล้วดันมาดูถูกคนที่เรียนจบไม่สูงแต่พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งได้ว่าเป็นพวกไร้การศึกษา) ที่ชอบดูถูกคน เพราะงั้นต่อให้คุณอวดฉลาดยังไงคนพวกนี้ก็ยังคง (แอบ) ดูถูกคุณอยู่ดีนั่นแหล่ะครับ

เพราะอย่างนั้นอย่าไปกลัวครับ ถ้าหากบางครั้งคุณจะต้องแสดง "ความโง่" ออกมาเพื่อรับเอา "ความฉลาด" เข้าไป


เพราะไม่แน่ในอนาคตคุณอาจจะได้กลับมาดูถูกไอ้พวกคนโง่แต่ดันอวดฉลาดที่มันเคยดูถูกคุณเอาไว้ก็ได้ !?!

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กาลครั้งหนึ่งเมื่อผมเปิด Website เพื่อฟังเพลง

 
 เนื่องด้วยวันก่อนผมได้ ฟังเพลงๆหนึ่งจาก Website ยอดนิยมอย่าง Youtube เว็บที่มีคนจากทั่วโลกเข้าไปใช้บริการไม่ขาดสาย

     เพลงที่ผมได้ฟังในวันนั้นคือเพลง "ขี้หึง" ซึ่งเป็นเพลงของวงร็อคสุดโปรดของผมนั่นคือ Silly Fools ที่ตอนนี้ถึงแม้ว่าวงๆนี้ยังคงมีตัวตนอยู่แต่พวกเขาก็ได้แตกวงกันเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนแกรมมี่ แล้วล่ะครับ เพราะ อย่างที่รู้ๆกันคือ นักร้องนำคนเดิมของวงซึ่งก็คือ "พี่โต" สุดหล่อของเราได้ขอแยกตัวออกไปตั้งวงใหม่ในชื่อ Hangman

     และหลังจากนั้น วงก็ได้นำนักร้องนำ (เข้า) คนใหม่มาทำหน้าที่เป้นกระบอกเสียงของวงแทนที่ พี่โต นั่นก็คือ พี่ "เบนจะมิน จุง ทัฟเนล" (แหม...ทั้งคนที่ออกไปและคนที่เข้ามาใหม่ต่างก็เป็นคนที่มี เครา ที่สวยงามเหมือนกันเลยนะครับ)

     แต่วันนี้สิ่งที่ผมกำลังจำมาพูด (เขียน) ถึงไม่ใช่เป็นเพลง ขี้หึง ของวง Silly Fools หรอกครับ แต่ก่อนที่ผมจะมาเข้าเรื่องผมขอย้อนประวัติโดยคร่าวๆของวงๆนี้ให้ท่านผู้อ่านที่น่ารักของผมให้ฟังก่อนนะครับ (ประวัตินี้อ้างองมาจากตัวผู้เขียนเอง เพราะงั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะคลาดเคลื่อนจากความเป้นจริงเล็กน้อย หากใครที่รู้ประวัติจริงๆของวงก็อาจจช่วย Comment ไว้ที่ใต้บทความนี้ก็ได้ครับ)

     วง Silly Fools ได้คลอดออกลืมตาดูโลกบนดินเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1992 มีสมาชิกซึ่งประกอบด้วย
     -นักร้องนำคนเก่า : ณัฐพล พุทธภาวนา (โต) ซึ่งหลังจาก พี่โตออกจากวงก็ได้พี่ เบนจามิน จุง ทัฟเนล (เบน) เข้ามาเป็นนักร้องนำแทน
     -มือกลอง : ต่อตระกูล ใบเงิน (ต่อ) ซึ่งก่อนหน้านี้มีมือกลองอีก 1 คนชื่อ กอบภพ ใบแย้ม (เต้ย) ที่ได้ออกจากวง ก่อนที่จะออกอัลบั้มที่ 2
     -มือเบส : เทวฤทธิ์ ศรีสุข (หรั่ง)
     และมือกีต้าร์ : จักรินทร์ จูประเสริฐ (ต้น)

     ประมาณปี 1992 พวกเขาได้ ออกอัลบั้มแรกนั่นคือ "I.Q 180"
     ประมาณปี 1993 พวกเขาก็ได้คลอดอัลบั้มที่ 2 โดยใช้ชื่อัลบั้มว่า "Candyman" ออกมาและหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้มี อัลบั้ม "Mint"  "Juicy" และ King Size ออกมาตามลำดับ ก่อนจะเกิดการประกาศแยกวงของ พี่โต นักร้องนำ (โดยก่อนหน้าที่จะออกอัลบั้มแรก ทางวงได้มีอัลบั้มได้ดินซึ่งน่าจะใช้ชื่อว่า "Silly Foolish" ออกมาก่อน)

     โดยหลังจากแยกวงแล้ว Silly Fools ที่ได้ทำการเปลี่ยนักร้องนำก็ได้ทำการออกอัลบั้มอย่างเป็นทางการออกมาอีก 2 อัลบั้ม นั่นคือ "Mini" และ "The One"

     นี่คือประวัติโดยคร่าวๆของทางวง ที่ผมในฐานะแฟนพัธุ์แท้ ขุดคุ้นมันมาจากความทรงจำเก่านำมาเล่าสู่กันฟัง

     เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่านครับ

     อย่างที่บอกครับ วันก่อนผมได้เข้าไปฟังเพลง "ขี้หึง" ของวง Silly Fools ในเว็บไซท์ อย่าง Youtube

     เพลงนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ มันเป็นเพลงที่เพราะอยู่แล้ว แต่ที่น่าสาระแนมากกว่านั่นคือ Comment ของเหล่าผู้ที่เข้ามาแวะชมเพลงนี้กันน่ะสิครับ

     ถ้าใครติดตามวงการเพลงไทยมาตั้งแต่สมัยนู้น คงจรู้นะครับว่า ทำไมวงๆนี้ถึงต้องแยกวงกัน ทั้งๆที่หากยังมีการรวมตัวของวงๆนี้อยู่ ดีไม่ดีวงๆนี้อาจจะดังกว่า วงร็อค หลายๆวงที่ดังเป็นพลุแตกอยู่ในตอนนี้ก็ได้นะครับ

     วงนี้แยกวงเพราะมีปัณหากันเองภายในวง หรือในอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกกันแบบบ้านๆว่า "ตีกันเอง" นั่นแหล่ะครับ

     หลังจากประกาศแยกวง (แบบขัดใจแม่ยก) ทั้งสมาชิกคนปัจจุบัน และ อดีตสมาชิคที่แยกตัวออกไป ก็ออกมา แขวะใส่กันเอง กันคนล่ะดอก 2 ดอก ว่าอย่างนู้นมั้ง อย่างนี้มั้ง ใครเป็นฝ่ายผิดมั้ง แยกตัวเพราะร่วมกันไม่ได้มั้ง และอะไรอีกหลายๆอย่าง
    
     หลังจาก "โยนขี้" ใส่กันไปมาอยู่พักหนึ่ง เรื่องราวก็หายไป พร้อมกับการที่ เหล่าผู้มี "ความศรัทธา" ในวงๆนี้ต่างก็คอตกยอมรับกับความจริงว่า มันคงจะเป็นการยากยิ่งกว่า "บังคับให้รัฐบาลไทยไม่คอรัปชั่น" หากอยากจะเห็นวงๆนี้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งในรูปแบบที่เรียกว่า "สมานฉันท์"

     ว่าแล้วหลังจากที่ พี่โต ออกมา ก็ได้ตั้งวงใหม่ขึ้นมานามน่ารักน่ากระทืบว่า "Hangman" (หรืออีกชื่อที่เพื่อนของผมนิยมเรียกว่า "เห็นแม่ง"

     ทั้ง 2 วง ซึ่งก็คือ Silly Fools และ Hangman ต่างก็แยกย๊ายกันทำมาหากินกันแบบทางใครทางมันไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีกแต่มันคงจะเป็นการยากที่จะห้ามให้เหล่า "สาวกพันธ์แท้" เข้าไปดูคลิปวิดีโอเก่า สมัยที่ยังรวมตัวกันเมื่อครั้งกระนู้น

     ไอครั้นดูอย่างเดียวมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่มันมีไอพวกที่ไป Comment ไว้ด้วย
     และหล่าวนี้คือบาง Comment ที่ผมหยิบยื่นมาให้ได้อ่านกันครับ

     -ในความคิดผมนะ HANGMAN ถ้าไม่มีโตก้อวงหมาหัวเน่า แล้วโตอะ เก่งจริงยอมรับ ผมชอบเสียงเขามาก แต่แม่งเปนนักดนตรีที่ไร้จรรยาบ­รรณ และก้อนิสัยส้นตีนมาก
แล้วแค่ดูการเล่นสดก็รู้แล้วว่า Silly fools มันเหนือกว่า
      -มึงคงอยู่ ซิลี่ฟู สินะ ถึงได้มาด่าเขา ไอ่ควาย ซิลี่ฟู วงเก่ามึงก็ไปหาหมาอาร์เอส เหมือนกัลหละว่
      -แม่งโคตรเหี้ยเลยคนเหี้ยไรวะ ทิ้งเพื่อนวงเก่า เสรือกมาเล่นเพลงวงเก่าที่มันดั­ง แมมโคตรเหี้ยเลย รับไม่ได้วะ ถ้าแม่งจะเล่นเพลงเก่าที่มันดัง­อยู่แล้ว แล้วแม้งกะเปลี่ยนวงทำเหี้ยไรวะ เห็นแก่ตัวชิปหาย
       -ดนตรีคนละชั้นเลยครับกะ SF
       -แล้ว ที่ พี่ๆในวง silly fools ชอบ กล่าวหา ว่า พี่โต ติดยา รัยงี้
       -กรุเกลียด Hangman รัก silly fools เเค่ชื่อก็กินขาดเเล้วว
       -Sillyfools อะที่สุดแล้ว พวกมืงลองฟัง Sounds ดูดีๆสิ พัฒนาไปไกลถึงไหนแล้ว
( เล่นสดก็ยังมันส์เหมือนเดิม)
      -Hangman กุไม่เห็นเพลงแม่งดังซักเพลง Sounds เบๆ (ไม่รู้ขายได้ป่าวหรอก)  
      -sf เล่นหนุกกว่าว่ะ hangmn แมร่งกระจอกว่
      -มรึงมาด่าเค้ามึงเล่นได้หรือไอฟวย
     - ยังงัยก้อซิลลี่ แฮงแมน กรูไม่รู้จัก
     -ฟังเหี้ยอะไร ฟังดนตรีเปนมะ กรูว่าทำไมเมิงถึงฟังแต่งแฮงแมน
    
    


     เหล่านี้คือการ comment ของเหล่าที่คิดว่า "พวกกูเป็นกูรูเพราะเพียงแค่กูรู้" และเอามาโพสกันอย่างสนุกรูปาก ซึ่งตัวผมใช้สมองอันโง่เขลาของผม วิเคราะห์เอาเองว่า "พวกเขามาโพสด่ากันว่าใครจะเจ๋งกว่ากัน หรือเพลงของวงไหนเพราะกว่ากัน" พลาง ด่าอีกฝ่ายแบบเสียๆหายๆปานพวกพี่ๆเขาไปเยี่ยวใส่หน้าของตัวเองก็ไม่ปาน

     ครับ.....ผมคนนึงครับที่เสียใจกับการแยกวงของวงนี้มาก เพราะโดยส่วนตัวเองผมก็เป็นแฟนคลับตัวยงของวง Silly Fools เหมือนกัน

     แต่ผมไม่เข้าใจครับว่าทำไมพวกคุณๆท่านๆทั้งหลายต้องมาด่ากันเพราะเหตุผลแค่ว่า "เกลียดอีกฝ่าย" เท่านั้นเองเหรอคับ? 

     แหม ทำอย่างกับพี่ๆเขาอยากจะแยกวงกันเลยนะครับ

     ผมไม่รู้นะครับ แต่ถ้าคุณเกลียดอีกฝ่ายมากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาด่าออกสาธารณะแบบนี้หรอกครับ มันมีแต่จะจุดไฟให้มันลุกลามกันไปใหญ่ ถ้าคุณนอนแช่งอีกฝ่ายอยู่ที่บ้าน ก็คงจะไม่มีใครว่าห่าอะไรคุณได้หรอกครับ

     เพราะแบบนี้ไงครับ ประเทศไทยมันถึงได้เจริญไปทุกที เพราะคนไทยเราอยู่นิ่งๆรับฟังคำวิจารณ์ไม่เป็นต้องออกมาแสดงออกถึงความเก่ง และ ความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ทั้งๆที่ผู้ที่ถูกพาดพิงถึงไม่ใช่ตัวเองสักหน่อย

     เปิดใจหน่อยนะครับ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำดีขึ้นมาคุณไม่เอ่ยปากชมเขา เขาก็ไม่ว่า แต่พออีกฝ่ายหนึ่งล้มหรือทำไม่ถูกใจคุณ กรุณา อย่าไปวิจารณ์เสียๆหายๆเลยครับ เพราะมันไม่แตกต่างอะไรกับ "การเอาสันดานตัวเองมาประจาร" หรอกครับ

     คุณเลือกฟังได้นะครับ ถ้ามีดนตรีดีๆออกมาให้เราฟัง ไม่ว่าจะเป็นของวงที่คุณชอบหรือไม่ชอบ มันก็เป็นสิ่งดีไม่ใช่เหรอครับ เราในฐานะผู้บริโภคควรจะดีใจซะด้วยซ้ำที่มีดนตรีให้เลือกฟังหลากหลายแนว

     ไม่ใช่พอเห็นคนไหนทำดนตรีไม่ถูกใจ หรือทำเพลงออกมาแล้วดังกว่าวงที่คุณรักคุณชอบ แล้วออกมาด่า มาวิจารณ์เขา


แบบนั้น คุณไปยืนด่าตัวเองในกระจกที่บ้านดีกว่าครับ....มันแมนกว่ากันเยอะเลย!?!