วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฉักเบื่อ ฉันรัก

     ฉันเบื่อที่เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่ค่อย
ถูกยอมรับในสงคมหมู่มาก

     ฉันเบื่อที่ต้องทำงานวันจันรท์เพราะมันถือ
เป็นวันแรกของการทำงาน กว่าจะได้พักผ่อน
ต้องรอไปอีก 4 วัน

     ฉันเบื่อที่ต้องไปทำงานในวันอังคารเพราะ
ทำแสดงให้เห็นว่าฉันเพิ่งเริ่มทำงานมาได้แค่
 1 วันเท่านั้น

     ฉันเบื่อที่จะต้องไปทำงานในวันพุธ เพราะ
หลังจากทำทำงานมา 2 วัน มันทำให้ฉันรู้สึก
เหนื่อยล้า อ่อนแรง และอยากจะพักผ่อนมาก

     ฉันเบื่อที่จะต้องไปทำงานในวันพฤหัสฯ
เพราะตอนนี้ฉันทำงานมา 4 วันจนหมดแรง
ไม่มีแรงจะทำงานต่อไปอีกแล้ว

     ฉันเบื่อที่จะต้องทำงานในวันศุกร์เพราะ
ตอนนี้ฉันเหมือนพาแค่ร่างกายมาทำงาน
โดยที่หาได้พาจิตใจและความกระปรี้กระเปร่า
มาด้วย

     ฉันเบื่อวันเสาร์เพราะแทนที่ฉันจะได้พัก
อย่างสบายๆแต่บางครั้งฉันอาจจะต้องมาทำ
งาน OT ให้กับทางบริษัทเพื่อเอาเวลาพักผ่อน
อันมาค่ามาแลกกับเงินเพียงไม่กี่บาท

     ฉันเบื่อวันอาทิตย์เพราะฉันต้องตื่นเช้ามา
ทำอาหารให้สามีและลูกๆของฉันทาน ทั้งๆที่
ใจจริงๆฉันอยากจะนอนหลับพักผ่อนให้สบาย
กายและสบายใจ

     ฉันเบื่อเจ้านายของฉันเพราะเขาช่างจุกจิกขี้บ่น
และไม่เคยเห็นความดีในตัวของฉันเลย

     ฉันเบื่อเพื่อนร่วมงานของฉันที่ชอบแอบซุบซิบ
นินทาชาวบ้านชาวช่องราวแบบไม่มีมารยาทและ
ยังชอบกินแรงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆอีก

     ฉันเบื่อที่จะต้องพูดและออกความเห็นในห้อง
ประชุมเพราะมันทำให้ฉันเหมือนตกเป็นเป้าสายตา
คอยถูกจ้องจับผิดของทุกคนในห้องประชุม

     ฉันเบื่อบ้านของฉันเพราะมันเล็กและคับแคบเกิน
ไปที่จะอยู่กันแบบครอบครัว จริงๆแล้วฉันอยากอยู่คน
เดียวด้วยซ้ำไป

     ฉันเบื่อสามีของฉันเพราะเขามีแต่ข้อเสียเต็ม
ไปหมดจนมันทำให้ฉันรู้สึกรำคาญที่ต้องต้องใช้
ชีวิตกับคนที่ไม่รู้จักโตสักที

     ฉันเบื่อที่จะต้องนอนหลับเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
แล้วต้องตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะออกไปทำงานต่อไป
เพราะฉันยังรู้สึกอ่อนเพลียหลังจากการนอนเพียง
ไม่กี่ชั่วโมง

     ฉันเบื่อลูกๆของฉันเพราะพวกเขาเเป็นเด็กที่
ซนและสร้างความรำคาญ น่าเบื่อหน่ายให้กับฉัน

     ฉันเบื่อการที่จะต้องทำอาหารให้กับครอบครัว
ของฉันเพราะการทำอาหารให้ใครสักคนมันเหนื่อย
เอามากๆแถมเขาแทบไม่เคยเอ่อบอกชมฝีมือการทำ
อาหารของฉันเลย

     ฉันเบื่อการมี Sex กับสามีก่อนนอนเพราะช่วงเว-
ลานั้นฉันอยากจะนอนหลับพักผ่อนมากกว่า

     ฉันเบื่อที่จะต้องตื่นในตอนเช้าเพื่อนไปทำงาน
เพราะอากาศยามเช้ามันทำให้ฉันอยากจะนอนพัก
ผ่อนต่อไปมากกว่าที่จะถ่างตาตื่นขึ้นมา


ฉันเบื่อชีวิตของฉันเหลือเกิน

ฉันเบื่อ

............................

แต่มาวันหนึ่งฉันได้เห็นคนกำลังเล่นโยนเหรียญหัวก้อยกันอยู่เมื่อชายคนที่ 1 โยน ชายคนที่ 2 ก็ทายว่า "ก้อย" และเมื่อชายคนที่ 1 โยนเหรียญต่อไป ชายคนที่ 2 ก็ทายว่าก้อยอยู่ทุกครั้งไป

สิ่งนั้นสร้างความ "สงสัย" ให้กับชายคนที่ 1 มาก เขาจึงเอ่ยถามชายคนที่ 2 ว่า ทำไมถึงทายว่าเหรียญจะออกแต่ก้อย ทำไมไม่ทายว่าเหรียญจะออกด้าน "หัว" มั้ง

นั่นทำให้ฉันเข้าใจ เข้าใจแล้วว่า เหรียญมี 2 ด้านเสมอ เช่นเดียวกันกับชีวิตของฉัน ที่มันมี 2 ด้านเหมือนกัน ทำไมฉันถึงเลือกที่จะมองเหรียญเพียงแค่ด้านเดียว

..............................

...............................

ตอนนี้ชีวิตฉันเปลี่ยนไปแล้ว



ฉันรักที่ฉันเป็นผู้หญิงเพราะนั่นทำให้ชั้นได้พิ-
สูจน์ตัวเองว่าฉันสามารถทำอะไรได้ไม่แพ้เหล่าผู้ชาย
และเมือฉันประสบณ์ความสำเร็จ คำชมเหล่านั้นที่ฉัน
ได้รับกลับมามันคือรางวัลตอบแทนของฉัน

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันจันทร์เพราะวันนี้
เป็นวันแรกของการทำงานหลังจากที่ฉันได้พักผ่อน
มาอย่างเต็มที่และพร้อมกับงานทุกอย่างแล้ว

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันอังคารเพราะนั่น
ทำให้ฉันรู้ว่าฉันทำงานสำเร็จลุล่วงด้วยดีมา 1 วันแล้ว

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันพุธเพราะตอนนี้
ฉันทำงานมาได้ถึงครึ่งทางแล้วอีกเพียงแค่ 2 วันฉันก็
จะได้พักผ่อนสักที

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันพฤหัสฯเพราะมัน
แสดงให้เห็นว่าฉันยังมีแรงทำงานอยู่และแสดงให้เห็น
ถึงความอดทนของฉันที่น้อยคนนักพึงจะมี

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันศุกร์เพราะนี่เป็นวัน
สุกท้ายของการทำงานและฉันก็พร้อมที่จะใส่เต็มที่เพื่อ
สิ่งที่ดีที่สุดในวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้

ฉักรักวันเสาร์เพราะถ้าบริษัทให้ฉันไปทำงานนั่น
แสดงให้เห็นว่าทางบริษัทเห็นคุณค่าในตัวของฉันแถมฉัน
ยังได้เงินเพื่อมาจุนเจือครอบครัวอีกต่างหาก

ฉันรักวันอาทิตย์เพราะวันนี้ถือเป็นวันครอบครัว
ที่ทำให้ฉันได้ใกล้ชิดกับครอบครัวและคนที่ฉันรักมันแสดง
ให้เห็นถึงความรักใคร่และความอบอุ่นในครอบครัว

ฉันรักเจ้านายของฉันเพราะทุกครั้งเวลาเขาบ่น
นั่นหมายถึงเขากำลังบ่งบอกถึงข้อเสียของฉันและฉันจะเก็บ
มันไว้และเอากลับไปปรับปรุงให้ดีขึ้น

ฉันรักเพื่อนร่วมงานของฉันเพราะพวกเขาช่วย
สร้างบรรยากาศในที่ทำงานให้ดูคึกคักขึ้นมาซึ่งถือเป็นอีกรส-
ชาติชีวิตที่สนุกสนาน

ฉันรักที่จะออกความเห็นในที่ประชุมเพราะนั่น
หมายถึงความคิดเห็นของฉันกำลังเป็นที่จับตาของคนทุกคน
และยังแสดงถึงความความสามารถและรู้ของฉันให้คนทุกคน
ยอมรับ

ฉันรักบ้านของฉันเพราะมันเป็นบ้านที่มีขนาด
กำลังพอเหมาะกับครอบครัวของฉันและไม่กว้างจนเกินไปแถม
ยังช่วยสร้างความใกล้ชิดในครอบครัวมากกว่าบ้านหลังใหญ่ๆ

ฉันรักที่จะนอนหลับเพียงไม่กี่ชั่วโมงและตื่น
ขึ้นมาทำงานเพราะนั่นมันทำให้ฉันรู้ว่าฉันเตรียมพร้อมการทำ
งานและมีความกระตือลือล้นตลอดเวลา

ฉันรักลูกๆของฉันเพราะพวกเขาเปรียบเสมียน
ดั่งดวงใจของฉันฉันสัญญาว่าจะเลี้ยงลูกๆให้กลายเป็คนดีและ
เป็นเยาวชนที่ดีของประเทศ

ฉันรักที่จะต้องทำอาหารให้ครอบครัวของฉัน
เพราะนั่นทำให้ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนที่มีฝีมือในเรื่องของการทำอา-
หารถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยเอ่ยบอกชมแต่การที่พวกเขาทานทุก
วันโดยไม่เอ่ยปากบ่นเลยสักคำ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ฉันรักที่จะมี Sex กับสามีก่อนนอนเพราะนั่น
ทำให้ฉันรู้ว่าเขายังรักฉันอยู่และยังให้ความใส่ใจในทุกๆเรื่องของ
ตัวฉัน

ฉันรักที่จะตื่นนอนตอนเช้าเพื่อไปทำงานเพราะ
นั่นแสดงให้เห็นว่าฉัน "ยังมีลมหายใจ" อยู่



ขอให้บทความนี้เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิตของตัวเองอยู่นะครับ

อ้อ.....ลืมไปข้อหนึ่ง

........................

.........................

ฉันรักสามีของฉันเพราะเขาไม่เคยบ่นในข้อเสียของฉันที่มีอยู่เต็มไปหมด และทำตัวเป็นพ่อที่ดีของลูกๆและสามีที่ดีของฉันตลอดมา



วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"นักสู้พันธุ์หมูกรอบ!?!"

     เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 21:35 นาฬิกา ผมและ "ไอ้สิงดิว" (น้องชายคนที่ 2 ของตระกูลแสงแก้ว ณ ตรัง) กำลังนั่งรับประทานอาหารกันอย่างสบายอารมส์ อยู่ภายในบ้านอันแสนสงบสุข

     สักพักหนึ่งก็เกิดความไม่สงบสุขขึ้นเมื่อ "ไอ้ผอม" (น้องชายคนที่ 3 ของตระกูลแสงแก้ว ณ ตรัง) วิ่งหน้าตา "ตื่นตระหนก" ออกมาจากหลังบ้าน พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มจะปริ่นๆ ออกมาจากเบ้า เมื่อมันวิ่งมาถึงที่ที่ผมกับไอ้สิงดิว กำลังนั่งกินอาหารกันอยู่นั้นจู่ๆไอ้ผอมก็สำรอกเสียงออกมาจากลำคอว่า "หมูกรอบอยู่ไหน ใครเห็นหมูกรอบมั้ง!?!!!!!!!!"

     พลันสิ้นสุดเสียงที่สุดแสนน่ารำคาญของคุณน้องผอม น้ำตาของมันจากตอนแรกๆที่แค่ "ปริ่นๆ" อยู่ที่เบ้า ก็เริ่มที่จะ "ต่อมแตก" ออกมา ว่าแล้วมันก็ไม่ร้องเปล่า แต่มันกลับ สำรอกรอกเสียงสุดแสนน่ารำคาญออกมาอีกครั้งว่า "หมูกรอบ มีครายยยยยยยยยเห็นหมูกรอบม้างงงงงงงงง เอาแค่ 2 ชิ้นก็พอออออออออออออ!!!???!!!"

     ด้วย "ความฉงน สงสัย" บวกกับ "ความฮา" ของท่าทางของ ไอ้ผอม ที่กำลังร้องไห้เหมือนกับ "เด็กถูกแย่งของเล่น" จึงทำให้พวกผม ถามคุณน้องผอมไปว่า "ไอ้ผอม? ไอ้ผอมจะเอาหมูกรอบไปทำอะไร?"

     "เอาไปกินแหล่ะ ถามโง่ๆจริง" นั่นคือคำตอบของคุณน้องผอมผู้น่ารักน่ากระทืบ ที่ออกมาจากปากพร้อมกับน้ำตาที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ว่าแล้วน้องผอมก็สำรอกเสียงราวกับนักร้อง "ฮาร์ดคอร์" ออกมาอีกเป็นครั้งที่ 3 ว่า "หมูกรอบบบบบบบบบบบ หมูกรอบอยู่ที่ไหนเว้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!"

     พร้อมเปลี่ยนท่าทีจาก เด็กอายุ 5ขวบถูกแย่งขนมมาเป็น ท่าทีของคนบ้าอายุ 20 ปี ที่เกิดอาการ "ชักดิ้นชักงอ" ราวกับเสียญาติพี่น้องทางบ้านไปยังไงยังงั้น!?!

     ด้วยท่าทางของไอ้คุณน้องผอมที่เหมือนจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆราวกับ "คนถูกผีเข้า" จึงทำให้ ไอ้สิง ถามกลับไอ้ผอมไปว่า "ถ้าไม่ได้กินหมูกรอบ 2 ชิ้นวันนี้ ไอ้ผอมจะตายรึเปล่า?"
     คุณน้องผอมซึ่งตอนนี้กำลังถูก "ผีหมูกรอบ" เข้าสิง พยักหน้าที่เปื้อนน้ำตา ก่อนจะตอบว่า "เออ ถ้าไม่ได้กินวันนี้ ต้องตายแน่"

     คำตอบของคุณน้องผอม ผู้ซึ่ง "หลงไหล" ใน "เกมส์ออนไลน์" ทุกชนิด เรียกเสียงหัวเราะ กร๊ากใหญ่ออกจากปากของผม และ ไอ้สิง ได้เป็นอย่างดี เพราะทันทีที่สิ้นสุดเสียงของคำตอบของไอ้ผอม ผมกับไสงก็หัวเราะกันฟันแทบจะหลุดออกจากปาก ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า "มีเด็กกำลังจะตายเพราะไม่ได้ แด๊กส์ หมูกรอบเพียงแค่ 2 ชิ้น"

     จริงๆ ด้วยท่าทางที่น่า "สงสาร" ของน้องผอม พวกผมในตอนนั้นก็ไม่อยากจะหัวเราะมันสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ด้วย "เหตุผล" ของคุณน้องแกมันค่อนข้างจะ "ปัญญาอ่อนเกินเหตุ" ไปหน่อย เลยทำให้มันอดที่จะหัวเราะไม่ไหวน่ะครับ

     คือเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ผมก็เพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะครับ เด็กที่หากไม่ได้ กระดกหมูกรอบผ่านลำคอแล้วจะต้องชักแด่วๆ ตายจากโลกนี้ไปน่ะ

     แหม....ผมอยากจะไปแจ้ง อย. (อาหารและยา) จังเลยนะครับว่า ให้บรรจุ "หมูกรอบ" เป็นหนึ่งในสิ่งเสพติดที่สามารถ "คร่า" ชีวิตของผู้ที่เสพติดมันได้เช่นกัน เพราะดูจากสภาพของน้องผมในตอนนั้น มันไม่แตกต่างจาก "คนลงแดง" สักเท่าไหร่เลยครับ

     แต่ที่มันฮายิ่งกว่าคือ สิ่งที่มันกำลังลงแดงคือ "หมูกรอบ" น่ะสิครับ ฮาฮา

     เข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ......ว่าแล้วคุณน้องผอมก็ยังคงร้องไห้หน้าแดงก่ำ และ "ไล่ล่าตามหา" หมูกรอบ่อไปอย่างไม่ละ "ความพยายาม" ราวกับ หมูกรอบมันมีค่า มหาศาล จึงทำให้ผมและไอ้สิง ตั้งชื่อใหม่ให้กับไอ้ผอม....

     ชื่อใหม่ของมัน ไฉไล เท่ และ ฟังดูเข้าท่ากว่าชื่อ "ผอม" เยอะเลยครับ เพราะผมและไอ้สิงตั้งชื่อใหม่ให้มันว่า  "นักสู้พันธุ์หมูกรอบ"

     นักสู้พันธุ์หมูกรอบ ที่เกิดจากการไปกิน "หมูกรอบลงอาคม" จึงทำให้มีพลังวิเศษ ที่จะใช้ต่อกรกับ"เหล่าร้าย" ที่จะมาโกงกินราคาชื้อขาย "สุกร" ของชาวไร่ชาวสวน และเมื่อใดที่พลังหมด นักสู้พันธุ์หมูกรอบ หรือ "ไอ้บักผอม" ก็ต้องรีบหาหมูกรอบมายัดเข้าปากให้ทันการณ์ก่อนที่จะสายไป เพราะเมื่อมันสายเกินไป อาจะทำให้นักสู้พันธุ์หมูกรอบหมด "พลังและสิ้นใจ" ไปในท้ายที่สุด

     และที่สำคัญสิ่งที่ขาดให้ได้เลยในการ "ต่อกร" กับพวกเหล่าร้ายคือ "ท่าไม้ตายทีเด็ด" ของไอ้บักผอม นั่นคือท่า "หมัดเขวี้ยงหมูกรอบ" ที่เอาไว้พิชิตศตรูในทุก "สมรภูมิ" ฮ่าฮ่าฮ่า

     ระหว่างที่ผมกับไอ้สิงกำลัง "จินตนาการ" ถึงนักสู้พันธุ์หมูกรอบอยู่เพลินๆ จู่ๆ ไอ้กิว (หลานชายคนที่ 1 ของตระกลูแสงแก้ว ณ ตรัง) ก็เดินออกมาจากห้อง ปรี่ตรงเข้ามาหาไอ้ผอมแล้วเอ่ยถามว่า "ไหนอ่ะ หมูกรอบ 2ชิ้นของพี่"

     อ้าว ไอ้ชิปหาย หรือว่าไอ้น้องกิวก็เป็นอีกคนที่เป็น "นักสู้พันธุ์หมูกรอบ!!!!!????!!!!!!"

     ก่อนที่พวกผมจะมาสืบทราบภายหลังว่า ไอ้น้องกิวให้ไอ้ผอมหาหมูกรอบไปไอ้ 2 ชิ้น เพื่อแลกกับการเข้าไปเล่นในห้องของน้องกิวซึ่งถือเป็น "สวรรค์" ของเด็กเล็กๆ เพราะมันถือเป็น "แหล่งซ่องสุม" ที่มีทั้งของเล่น โทรทัศน์ เกมส์ และอีกต่างๆมากมาย ที่เด็กๆพึงจะอยากเล่น นั่นจึงทำให้ไอ้ผอม ตามหา "หมูกรอบ 2 ชิ้น" แบบ "พลิกแผ่นดิน" เพื่อแลกกับตั๋วเข้าห้องของน้องกิว!!!

     สุดท้ายไอ้ผอมหาหมูกรอบเจอมั๊ย? ได้เข้าห้องน้องกิวหรือเปล่า? หรือเป็นยังไงกันต่อ ผมกับไอ้สิงก็ไมอาจจะรับรู้ได้นะครับเพราะพวกผม "ช็อค" ในความ "ไร้สาระ" ของน้องๆ ตัวเองกันอยู่

     เฮ้อ~อ คิดไปคิดมามันก็ฮานะครับ ผู้อ่านอาจจะไม่ฮา แต่ผมกับไอ้สิงที่อยู่ในเหตการณ์ขอยอมรับตามตรงว่าตอนนั้น ฮามากๆ

     และจนถึงตอนนี้ผมและไอ้สิงก็ยังคงเรียกไอ้ผอมด้วยฉายาใหม่ที่ผมกับไอ้สิงตั้งให้มันเองนั่นคือ



"นักสู้พันธุ์หมูกรอบ"