วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

นี่น่ะเหรอ? คือเรื่องเหลือเชื่อ

เมื่อไม่นานเพื่อนผมคนนึง (ขออณุญาติสงวนนาน) มันเพิ่งอกหักจากเมียรัก ด้วยข้อหา "กวนส้นตีน"


คือเมียมันมาบอกเลิกและก็ให้เหตผลว่า "คุณกวนส้นตีลลส์มากไปนะคะ" แค่เนี้ย!?!


ฮ่าฮ่าฮ่า ขออณุญาติ หัวเราะในความงี่เง่าของ ผู้หญิง ที่รักในความสุภาพ ชนิดที่ยอมให้ความกวนส้นตีนของสามีอันเป็นที่รักมาบอกอำลาชีวิตรักที่ยาวนาน (มันบอกผมว่าคบกันมา 2 ปี)


คือ เพื่อนผมอาจจะกวนตีนมากไปหน่อยก็จริง แต่ คราวหน้า กรุณาหาเหตผลที่มัน ดูดีกว่านี้หน่อยดีกว่านะครับคุณเธอว์


หรือบอกเลิกกันตอนที่คบกันมาได้สักเดือน - 2เดือน ดีกว่านะครับ นี่ อะไร นอนเล่น "ปลอกกล้วยเข้าปาก" กับเพื่อนผมมาตั้ง 2 ปี เพิ่งบอกเลิก!!! ฮาครับฮา




สุดท้าย...เพื่อนผมคนนี้ร้องไห้ ฟูมฟาย ราวกับญาติเสีย ก่อนจะตะโกนบอกฟ้าว่า "ไอ้เชี่ย กรูทำผิด แมร่ง อารายว้า!!!!!!!!!"


มันบอกว่า ฟ้าช่างเล่นตลกกับมันเหลือเกิน ทำไมมันถึงได้หักมุมแบบ "เหลือเชื่อ" เช่นนี้


แบบนี้ตรงกับวลี Classic วลี หนึ่งนะครับ คือ


"ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน"


ครับบางครั้ง เรื่องห่าเหวมันก็เกิดขึ้นได้กับพวกเราทุกๆคนโดยไม่ได้ระบุ หรือเจาะจงว่า จะต้องเกิดขึ้นกับคนนี้หรือว่าคนนั้น

ความห่าเหว บรรลัยกันล์มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ และมันได้แทรกซึมลงไปอยู่ในทุกอณูของทั้ง "สิ่งมีชีวิต" และ "สิ่งไม่มีชีวิต"
ผมเองยังเคยเห็นเรื่องๆแปลกมากๆกว่านี้มากมายเลยครับ แต่ผมคิดว่าเรื่องทุกเรื่องที่ผมได้เห็น หรือที่คนอื่นได้มีโอกาสได้เห็น หรือประสบกันมา มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ เหลือเชื่อ แบบที่บอกไว้ตอนต้นของบทความนั้นหรอกครับ

มันแค่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากเท่านั้นเอง

สิ่งนี้มันอาจจะเกิดขึ้นได้ยาก เลยทำให้พอเกิดขึ้นทีหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นเหมือน "เรื่องเหลือเชื่อ" แบบกลายๆไปซะ

ทั้งๆที่หากลองมองดูดีๆแล้ว มันไม่ใชว่าจะไม่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเลย แต่แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมามีน้อยต่างหากเลยทำให้คนส่วนมากมักคิดไปว่า พอเกิดเหตการณ์แบบนี้ขึ้นมาก็คล้ายๆกลับเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ

เรื่องของเพื่อนผมก็เหมือนกันครับ ต่อให้มัน หักมุม หรือ พลิกเหลี่ยม ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออยู่ดีน่ะแหล่ะครับ แต่เป็นเพราะว่า เพื่อนผมเขาไม่ได้ทำใจรับความผิดหวังไว้ก่อน เลยทำให้ตอนที่เขาเจ็บมันเจ็บมากจนคิดว่าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเหลือเชื่อไปเองมากกว่า

จริงๆก็ถือเป็นเรื่องปกตินะครับ ที่ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องมีเลิกรากันไปบ้าง ถึงแม้บางครั้ง "แนวโน้มแห่งการเลิกรา" มันอาจจะไม่เคยแสดงให้เห็น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า การเลิกราจะไม่เกิดขึ้นสักหน่อยจริงมั๊ยครับ?

เหมือนกับวลีที่เพื่อนผม (นาย อรรถพล นุ่นมัน) ชอบพูดบ่อยจนติดปากว่า

"ควายแน่นอนคือควายไม่แน่นอน"

เพื่อนผมคบกันมาแค่ 2 ปีเอง พอจะเลิกกันที่ทำเป็นเรื่องเหลือเชื่อกันไปซะแล้ว ผมเองคบกับแฟนมา5ปี รักกันดีจะตาย จนทุกวันนี้แฟนผมจู่ๆก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีน ผมยัง "กินดี ขี้ออกได้" และไม่เคยเห็นว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเลยสักครั้งเดียว

ครับ.....อยากให้เพื่อนผมไปลองคิดดูใหม่นะครับ

ว่าคุณ "เสียความรักไป หรือคุณได้ความอิสระกลับคืนมา"

เหรียญมี 2 ด้านเสมอนะครับ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกที่จะมองด้านไหนของเหรียญต่างหากล่ะครับ

ความกวนตีนไม่เข้าใคร ออกใคร!!!!

วันก่อนผมเจอเหตการณ์เหตการณ์หนึ่งซึ่งสร้างความระบมรูตูดให้ผมได้พอสมควรคือ ถูกผู้ปกครองของเด็กชายคนหนึ่งบุกมาด่ากราดผมถึงร้านเน็ตฯในข้อ(ที่ถูกกล่าว)หาว่าทำร้ายลูกแก


แหมแหมแหม ผมอยากจะหัวเราะเป็น "ภาษากวางเจา" ให้กับตัวเองเสียเหลือเกินเนื่องด้วย ตลกในการกระทำของคุณแม่น้องเขาครับ


ครับผมยอมรับตามตรงว่าผมทำร้ายน้องเขาจริงๆ โดยการรจับบีบคอโดยอารมส์นั้นผมคงกะให้น้องเขาตายจริงๆก็เป็นได้อันั้นผมเองก็มิอาจทราบ


ว่าง่ายๆคือ โมโห ครับ โมโห


ว่าแล้วขอเล่าย้อนกลับไปก่อนจะเกิดเหตการณ์ที่เพื่อนๆผมในร้านเน็ตฯเรียกว่า "บอสบุก" นะครับว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร


ประมาณเที่ยงของวันหยุดราชกาลวันหนึ่งในร้านเน็ตฯซึ่งแน่นอนเต็มไปด้วยเด็กเล็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งร้าน ผมซึ่งตอนนี้ อายุ24 ปี นั่งเล่น "เปรตบุก" หรือในภาษาอังกฤษคือ "Facebook" คุยกับเพื่อนในระยะทางไกลอยู่ ว่าแล้วน้องชายผมนามว่า "ดีม" และเพื่อนๆของเขาก็เข้ามาหาผมและทำท่าทำนองว่าอยากจะขอเล่นด้วย


หนึ่งในอนาคตของชาติมีอยู่ 1 คนชื่ออย่างน่ารักน่าชังว่า "น้องฟิม"


ว่าแล้วผมก็คุยเล่นกับน้องเขาทุกๆคนตามภาษาผู้ใหญ่ที่ดีควรจะพูดกับเด็กๆทำนองว่า


"น้องๆมาเล่นเกมอะไรกันครับ" หรือ "กินข้าวแล้วยังครับ" ทำนองนี้


จริงๆครับ อาจจะไม่ใช้ภาษาดอกไม้ขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีคำไหนส่อถึงความไม่สุภาพ และไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างต่อน้องๆเยาวชนอย่างแน่นอนครับ


ว่าแล้ว น้องฟิม ผู้น่ารักก็เริ่มกระทำบางอย่างในรูปแบบที่ถูกเรียกจากคนทั่วไปว่า "กวนตีน" ด้วยการพูดจา กวนตีน วกไปวนมา ราวกับน้องเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม โดยที่น้องเขาน่าจะมีอายุประมาณ "สิปฟ่า" ปีเท่านั้นเองครับ


ผมเองก็คนครับ ทนไม่ไหวผมเลยสวนกลับไปว่า "ไอฟิม มรึงพูดเหมือนมรึงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพี่หยั่งงั้นเลยนะเว้ย?"


ไอฟิมมันสวนกลับมาว่า "เออ ใช่ ผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับโกบอล" พลางยกมือของมัน บรรจงจับหัวผม (จริงๆแล้วคือมันเอามือลูบหัวผมแบบช้า) และก็หันไปด่าชื่อพ่อน้องชายผม โดยที่คงจะลืมว่าชื่อพ่อน้องชายของผมก็เป็นชื่อเดียวกันกับพ่อผม


เท่านั้นแหล่ะครับ ผมบรรจงเอามือของผม "บีบคอ" ของน้องเขา แบบ "เอาตาย" ก่อนที่วินาทีต่อมาผมจะปล่อยมือออกจากคอและพูดว่า "มรึงหยุดเลยนะไอฟิม พอกรูเล่นด้วยแล้วมรึงเหลิง ไปไกลกรูเลยไป"


ครับเท่านั้นจริงๆครับ


ต่อจากนั้นน้องเขาก็ไม่เคยมายุ่งผมอีกเลยจนกระทั่งวันนึงที่ ผมเข้าร้านเน็ตฯร้านเดิม และเจอกับ น้องฟิม ซึ่งตอนนี้เลื่อนยศมาเป็น "ไอฟิม" เรียบร้อย อยู่พร้อมกับพี่สาวของมันอายุน่าจะ 17-18ปี ซึ่งบอกได้คำเดียวว่า "เสียวโว้ย!!!"


ว่าแล้วสงสัย ไอฟิม คงจะนึกว่า พี่มันอยู่ด้วยเลยเข้ามากวนตีนผมอีกรอบ โดยหารู้ไม่ว่า ผมไม่ได้กลัวพี่สวยสุกเสียวของมันเลยสักนิด ก่อนผมจะตะคอกกลับไปว่า "หนที่แล้วมรึงยังไม่จำใช่มั๊ยไอฟิม คราวนี้มรึงกวนตีนกรู มรึงเจ็บกว่าคราวก่อนแน่"


ว่าแล้วพี่สาวเสียวโว้ยก็ทำตัวเหยี่ยวข่าวคาบเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟัง (และคงจะใส่ไฟอีกสักเล็กน้อย)


ว่าแล้ววันต่อมา ก็เลยเกิดเหตการณ์ "บอสบุก" เลยครับ บุกถึงที่ แม่ไอฟิม มายืนด่าผมที่ร้านเน็ตฯ ทำท่าเอาจริงเอาจัง จะกินตับผมเสียให้ได้


โครตกลัวเลยครับขอบอก โครตกลัวจริง


ผมเองก็ไม่ได้ฟังว่า เขาด่าอะไรมั้ง แต่ผมสวนกลับไปว่า "คุณดูลูกคุณก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาว่าคนอื่น" เพราะผมเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตไปทะเลาะกับเด็กไม่มีสัมมาคารวะอย่างนั้นหรอกครับ


แต่ทางกลับกัน ผมก็เป็นมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็มีขีดจำกัดความโมโหอยู่เหมือนกัน


และพอดีกับอัตราความ "กวนตีน" ของน้องฟิม ผู้น่ารักน่ากระทืบ ดันมีมากเกินกว่าวุฒิภาวะ ของผมจะรับได้มันคงไม่ผิดเลยหากผมจะกระทืบเด็กคนนี้เละคาตีน เพราะถึงน้องเขาจะเด็ก แต่เราคงเอามาอ้างไม่ได้ว่ายังเด็ก ความกวนตีน ของน้องเขามากเกินจะรับได้จริงๆครับ (แถวบ้านผมเขาพูดแบบนั้นกันทุกคน)


เด็กวันนี้คืออนาคตในวันข้างหน้า ผมอยากหัวเราะเหลือเกินครับ หัวเราะเป็นภาษากวางเจา


ว่าแล้วทำไมประเทศไทยมันถึงแย่ลงแย่ลง ทั้งๆที่เด็กบางคนเรียนเก่งเหลือเกิน เพราะมีเยาวชนผู้น่ารักน่ากระทืบ อย่างนี้อยู่ในสังคมไทยซะเป็นส่วนมากไงครับ(อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงทุกๆคนนะครับ) มันเลยไม่ได้เรื่องสักที


ผมกลัวเหลือเกินครับ


กลัวว่าน้องเขาคงจะเป็นอนาคตของชาติไม่ได้แน่ๆ


เปล๊า!! ผมไม่ได้หมายความว่าน้องเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เอาไหนนะครับ


แต่ผมกลัวว่าน้องเขาจะถูกกระทืบตายก่อนที่มันจะได้โตเป็นผู้ใหญ่น่ะสิครับ

ท่วมกันให้ตายไปข้าง + กับอัตราความน่าถูกกระทืบ

    
     ในช่วงที่ผ่านมา ผมและครอบครัวที่สุดแสนจะสงบสุข (อยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 คน) ต้องเผชิญกับภัยทางธรรมชาติที่คนส่วนใหญ่โดยทั่วไปให้คำนิยามว่า "น้ำท่วม" ถึง 2 ครั้ง 2ครา ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

     ครับ ไม่รู้เป็นห่าเป็นเหวอะไรกับโลกใบนี้รึเปล่านะครับ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้ จะเกิดอะไรที่คนเขาเรียกกันว่า "ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" บ่อยซะเหลือเกิน

     ทั้งๆที่ไม่มีใครจุดธูปเรียกให้มาหาแท้ๆ แต่ภัยเหล่านี้มันก็ดันมาหาเราในรูปแบบที่เรียกว่า "ไม่ทันตั้งตัว" เลยเกือบทุกครั้งไป

     บางทีมาแล้วไม่มาเปล่า ยังพกพาความเดือดร้อนและความน่ารำคาญให้กับคนที่พบเห็นและประสบกับสิ่งเหล่านี้อีกต่างหาก

     เรียกว่าถ้าหากเป็นคนแล้วล่ะก็ เขาออาจจะเป็นผู้ชายที่นิสัยสถุล ไม่มีสกุล หน้าตากวนตีน และพกพาความอุบาทว์อย่างร้ายแรงจนขนาดที่จะมาเดินเพ่นพ่านในตลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด (เพราะเดี๋ยวอาจจะโดนกระทืบแบบไม่รู้ตัว)

     แต่ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้นแล้ว มหันตภัยทางธรรมชาติเหล่านี้ก็ยังจะมาให้พวกเราพบเจออยู่เป็นประจำ

     ถ้าเกิดสิ่งเหล่านี้เป็นคน และผมดันไปพบเห็นเข้าล่ะก็ ผมอาจจะตะคอกใส่หน้าเขาว่า "ไอเชี่ย!!!มรึงมาทางไหน กลับไปทางนั้นเลยนะ แสรด!!!!!"   ฮ่าฮ่าฮ่า (ต้องเอาแรงๆครับกับพวกแบบนี้)

     เข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ....

     เหตการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบันนั้น คือเหตการณ์ น้ำท่วม ที่ไม่ใช่แค่ "น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง" นะครับ แต่มันคือ "โครตของโครตน้ำท่วม" เลยก็ว่าได้ครับ เพราะมันเล่นท่วมกันทั้งเมือง ท่วมกันเกือบทุกจังหวัด และยังมีโปรโมชั่นเสริมคือความเหน็บหนาวระดับ "สะท้านขนตูด" แถมมาด้วยอีกต่างหาก

     ว่าแล้วผมก็ขอบอก (เขียน) ให้ท่านผู้อ่านได้รู้เลยดีกว่าว่า พอน้ำท่วมแล้ว ความรำคาญ หรือผลกระทบที่เกิดจากน้ำท่วมที่ (ตัวเอง) ต้องเจอนั้นคืออะไรบ้าง และจะแถม "อัตราความน่าถูกกระทืบ" (หากไปเปรียบเทียบกับคน) ให้อีกต่างหากครับ

     เริ่มต้นด้วยที่ ....

     1.) ขนของ!?!
          โครตรำคาญเลยครับ กับการขนของหนีน้ำท่วม เพราะของบางอย่าง ทั้งหใญ่ ทั้งหนัก ชนิดที่ว่าต่อให้ แชมป์โลกนักยกน้ำหนักมายก มันก็ยังหนักอยู่ดี   ล่าสุด ผมเพิ่งจะได้เห็นยายแก่ อายุอานามราวๆ 60 ปี กำลังแบกเตียงนอนเพื่อจะขนหนีน้ำกันปางตายเลยทีเดียวครับ ไม่รู้ว่าคุณยายท่านนั้นแบกไปได้อย่างไรนะครับ (จริงๆแล้วเขาช่วยกันหมากันกับชายหนุ่มอีกคน) สังสัยแกคงคิดเพียงแต่ว่า "หากกรูไม่ขนที่นอน คืนนี้กรูก็ไม่มีที่ให้ซุกหัวนอน" ว่าแล้วจึงจับที่นอนยกขึ้นบ่าก่อนจะไปแบกไปราวกับ วัยรุ่นอายุ 20 ก็ไม่ปาน อย่างงี้ถ้าไปถามคุณยายว่า "คุณยายคะ น้ำท่วมแบบนี้คุณยายรู้สึกอย่างไรมั้งคะ?" คุณยายท่านนั้นคงตอบแบบ "น้ำหมากกระจาย" ไปเลยว่า "แมร่ง....ยายโครตรำคาญเลยอีหนูเอ้ย!!!!" ฮ่าฮ่าฮ่า
          อัตราความน่าถูกกระทืบ :  80 ส้นตีน

     2.) เด็กเล่นน้ำ!?!
          แหม คุณหนูพวกนี้ไม่รู้เลยรึไงครับว่า นี่มันคือ ภัยพิบัติ ไม่ใช่ สวนสนุก ว่าแล้วอนาคตของชาติทั้งหลายแหล่ก็บรรจงเล่นน้ำกันแบบไม่บันยะบันยัง (แต่มีเด็กบางคนนะครับที่ไม่ชอบเล่นน้ำแบบนี้) อันที่จริงมีนก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ แต่ หากคุณกำลังเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศ (รถผ่านไม่ได้เพราะน้ำท่วม) ด้วยชุด สีขาวที่ซักและรีดมาเรียบร้อยแล้ว แต่พอกำลังจะเดินไปถึงที่หมาย เด็กกลุ่มหนึ่งกลับกระโดดกระโจนน้ำจนกระจายเต็มเสื้อคุณไปหมด คุณจะทำยังไง? แหมอย่าบอกนะครับว่า จะตบเด็กตัวการที่ทำให้คุณเปียก เขายังเป็นแค่เยาวชนเองนะครับ
          ว่าแล้วก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะถ้าหากเกิดคุณตบเด็กไป ดีไม่ดีอาจจะทำให้ผู้ปกครองของเด็กผู้นั้นโมโหโทโส มาตามล้างแค้นให้ลูกหลานอันเป็นที่รักยิ่งของเขาก็เป็นได้ (ทำไมมรึงไม่ดูลูกหลานมรึงก่อนแล้วค่อยมาว่าคนอื่นวะ?) นี่ยังไม่รวมไอ้พวกที่เล่นน้ำแล้วหายสาบสูญไปปล่อยให้พ่อแม่ที่คิดว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกลับลูก (ทั้งๆที่ความจริงมันไปเล่นกับเพื่อน)ตามหากันเสียยกใหญ่อีกนะครับ เฮ้อ...คิดแล้วปลื้มแทนประเทศไทยจริงๆนะครับที่มีเยาวชนที่น่ารักน่าตบอย่างนี้อยู่มากมายซะเหลือเกิน (อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงเด็กทุกคนนะครับ)
          อัตราคว่ามน่าถูกกระทืบ : 40 ส้นตีน

     3.) สัตว์เลื้อยคลาน!?!
          ครับ...มันก็ต้องมีกันบ้าง เมื่อเวลาที่น้ำท่วมมันอาจจะไม่ได้แตกต่างไปจาก "ปิดเทอมหใญ่ หัวใจว้าวุ่น" ของเหล่าสัยว์เลื้อยคลานทั้งหลายแหล่หรอกครับ เพราะพวกเล่นออกมาเดินกับเพ่นพ่าน ราวกับวัยรุ่นมาเดินกันหน้าสลอนอยู่แถวๆ "สยามเซ็นเตอร์" ยังไงยังงั้นเลยครับ
          แถมไอ้พวกที่ออกมาเพ่นพ่าน ส่วนใหญ่จัดอยู่ในจำพวก "สัตว์ที่มีพิษ" เกือบจะทุกราย ร้ายแรงกว่านั้นคือ บางทีเราอาจจะเห็น "ไอเข้" หรือ จระเข้ ซึ่งถือเป็นครูใหญ่แห่ง "โรงเรียนสัตว์เลื้อยคลานวิทยาลัย" ออกมาสอดส่องดูแลเหล่านักเรียนที่น่ารัก (และน่ากิน) ของมันด้วยก็เป็นได้ คราวนี้บอกได้คำเดียวครับว่า "ชิปหาย!!!!"
          อัตราความน่าถูกกระทืบ : 80 ส้นตีน

     4.) ไฟฟ้าดับ!?!
          ทุกครั้งที่เกิดเหตการณ์น้ำท่วม ทางภาครัฎฯจำเป็นต้องมีการตัดไฟฟ้า เพื่อไม่ให้ไฟฟ้ามันลัดวงจร จนช็อตคนตาย แหง็กๆๆๆ (อันนี้ผมคิดเอาเองนะ) แต่นั่นล่ะครับคือปัญหา ทุกวันนี้ในชีวิตคนเราที่ของใช้เกือบทุกอย่างในชีวิตประจำวันจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน พอกระแสไฟฯถูกตัด มันก็ไม่แตกต่างกับว่า ของบางอย่างที่เรามีอยู่มันเหมือนไม่มีค่าอะไรเลย เก็บเอาไปไว้ "เขวี้ยง" ใส่หัวจระเข้ เวลาที่มันจะมาเขมือบเราซะยังจะคุ้มค่ากว่า แต่ใครจะไปกล้าทำล่ะครับ เสียดายของตายชัก!
          อัตราความน่าถูกกระทืบ : 50 ส้นตีน

     5.) พวกมาแจกอาหารให้ผู้ประสบภัย!?!
          อันนี้ดีมากเลยครับ ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีน้ำใจ เอาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาแจกกับ พวกเราผู้ประสบภัยนะครับ แต่มันมีอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเห็นแล้วรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมาตะหงิดๆ นั่นคือทุกครั้งที่ นายห้างฯ หรือผู้ที่เป็นเจ้าภาพในการแจกข้าวของนั่งรถมาแจกของด้วย มันจะไม่มีการแจกของแค่อย่างเดียวน่ะสิครับ มันจะต้องมีการถ่ายรูป ในขณะที่ นายห้างฯ ใหญ่กำลังยื่นของให้กับผู้ประสับภัย และผู้ประสบภัย ก็กำลังจะรับของพอดี
          บางทีอาจจะมีเสียงจากตากล้องว่า "อ้าว...ยิ้มหน่อยทุกคน~" ราวกับว่าจะมาถ่ายรูปรับใบปริญาอย่างไงอย่างงั้นเลยล่ะครับ เฮ้อ พวกคุณพวกท่านจะเก็บรูปนี้เอาไปใช้หาเสียงหรือไงไม่ทราบ รู้บ้างมั๊ยว่า พ่อแม่ของกรูที่รออยู่ทางบ้าน หิวข้าวจะตายชักอยู่แล้ว นี่ยังจะมา แชะ รูปถ่ายกันสบายอารมส์อยู่อีก  แหม...ที่จริงอยากจะดึงพวกท่านๆลงมาเล่นน้ำกับพวกผมดูสักวัน 2 วัน ท่านจะได้รู้ว่า เวลาเขามาแจกของนั้น "มึงไม่ต้องถ่ายรูปก็ได้" (เฮ้อ~ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีใครมาแจกอะไรล่ะวะ)
          อัตราความน่าถูกกระทืบ : 100 ส้นตีน

     นี่ล่ะครับ คือสิ่งที่ผมคิดว่า มันสร้างความน่ารำคาญและลำบากใจให้กับผมในช่วงที่เกิดเหตการณ์ "น้ำป่าไหลหลาก" ขึ้น ผมหวังว่าเหตการณ์อย่างนี้คงจะไม่เกิดขึ้นอิกแล้วนะครับ เพราะมันน่ารำคาญเสียจนอยากจะกระทืบหน้าคนเพื่อเป็นการระบายอารมส์

     แต่ก็นั่นแหล่ะครับ ของอย่างนี้มันจะเกิดก็ต้องเกิด ใครก็ไปหยุด หรือฉุดมันเอาไว้ไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือเรามาช่วยกันหาวิธีแก้ไข กันดีกว่าครับ

     เพื่อวันข้างหน้าบ้านเราจะได้น่าอยู่กว่านี้ ประเทศไทยจะได้น่าอยู่กว่านี้ หากเราร่วมมือกันไม้ว่าเรื่องอะไรเราก็ต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน

     เพราะผมเชื่อเหมือนกับคำที่ใน "โฆษณา" เขาบอกเอาไว้ล่ะครับว่า



"คนไทย ถ้าตั้งใจทำอะไรก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก"

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

กระเทยขั้นเทพ



เอ่อ.......

ผมเองเกิดมาเป็ผู้ชาย.....ชายแท้แบบ 100%        แต่มีความพิเรณอย่างหนึ่งที่ คนรอบๆข้างชอบมองผมว่าเป็นคนไม่ค่อยเต็มนั่นคือการที่ผมชอบเล่นเป็น "กระเทย"

ครับไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมชอบเล่นเป็นกระเทยมาก    ชอบที่จะแกล้งทำเป็นพูดหวานแหวว แอ๊บแบ๊ว ชอบที่จะจับแขนจับขาผู้ชาย และชอบที่จะพูด "ว้าย~~ตายแล้วหล่อน" อะไรประมาณนี้ล่ะครับ

ทั้งๆที่ใจจริงไม่เคยคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะผมคิดว่า ชาตินี้ยังงัยผมก็ไม่เป็นกระเทยแน่นอนล้าน%ก็เลยชอบเล่นเป็นกระเทย เพราะตัวผมรู้ตัวเองดีที่สุดว่าตัวผมจะไม่มีทางเป็นกระเทยไปจริงๆ

แต่ก็นั่นแหล่ะครับ  เราย่อมรู้ตัวเอง แต่คนอื่นเขาจะมารู้เรารึไงมิทราบ?

ว่าแล้วเวลาที่ผมแกล้งเป็นกระเทย ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทระดับที่ "แค่เห็นขนหน้าแข้งก็รู้จักชื่อพ่อ" เขาคนนั้นก็คงคิดว่าผมเป็นกระเทยจริงๆ เพราะผมอยู่ในระดับที่เรียกว่า "แมร่ง ทำเหมือนชิปหายเลย" ล่ะครับ

เรียกว่าถ้าเป็นโทรศัพท์ก็คงจะ ก็อปปี้ได้เหมือนของจริงแบบ 100%  แต่ไม่สามารถใช้งานได้แค่ "1 ซิม" เท่านั้นนะครับ (ถ้า "2ซิม" มันคือ หญิงก็เอา ชายก็เอาน่ะครับ)

แหม....ผมนี่น่าจะไปแสดงเป็นกระเทยในละครน้ำเน่าของบางประเทศเสียจริงๆนะครับ ดีไม่ดีถ้าได้แสดงขึ้นมาจริงๆ เวลาเดินผ่านตลาดอาจจะได้เปลือกทุเรียนติดหัวกลับมาฝากพี่ๆน้องๆ ทางบ้านด้วยก็ได้นะครับ เพราะ "ความดัดจริต" ในการ (แกล้ง) เป็นกะเทยของผมนั้น พุ่งกระฉูด ทะลุจุดสุดยอดเลยล่ะครับ

เรียกว่า เหมือนกระเทย (ควาย) มาเองจริงๆเลยละครับ

ด้วยเหตผลนี้ เพื่อนผมบางคนถึงขนาดขนานนามให้ผมเป็น "กระเทยขั้นเทพ" ไปเลยทีเดียวเชียว!!! (มรึงไม่คิดมั้งเหรอว่ากรูไม่อยากได้ฉายานี้)

กาลครั้งหนึ่ง การแสดงเป็นกระเทยของผมมันเคยเหมือนมากจนถึงขั้นที่ "อาเฮีย" คนหนึ่งมาขอให้ผมไปเป็นคู่ขา ร่วมหลับนอนซะอย่างนั้น

แหม...บอกตามตรงว่าอยากจะกระโดดถีบหน้า อาเฮีย คนนั้นจริงๆเลยครับ แต่เผอิญว่าเกรงใจ "ปืน" ที่มันเหน็บอยู่ข้างๆกับอวัยวะเพศของมือปืนอาเสี่ยผู้นั้นน่ะสิครับ ไม่งั้นอีกวันต่อมาอาจจะมีพาดหัวข่าวว่า "กระเทยควาย (ตัวปลอม) ถูกลูกน้อง อาเฮียหลี ยิงดับอนาถกลางร้านข้าวต้ม" ก็เป็นไปได้ ฮ่าฮ่าฮ่า

ที่จริงผมก็ไม่ซีเรียสกับเรื่องที่ผมชอบแกล้งทำตัวเป็นกระเทยนี่อะไรมากมายหรอกครับ เพราะผมรู้ตัวเองดีแล้วว่ายังไงซะผมก็ไม่เป็นกระเทยแน่นอน เพราะงั้น ผมจึงคิดว่าจะเล่นแกล้งเป็นกรเทยต่อไปตราบเท่าที่ใจต้องการ

ถึงแม้จะผ่านการเฉียดที่จะถูก อาเฮียโรคจิตรข่มขืนเพราะการเล่นแกล้งเป็นกระเทยมาแล้วก็ตาม

แต่.....กระทั่งล่าสุด ที่ผมต้องเข้ามาทำงานใน "โรงแรม" ที่มีชื่อเสียงระดับเดียวกับไก่ย่าง (5ดาว) ผมกลับถูกท้าทายให้เปลี่ยนแปลงความคิด (ในการเล่นเป็นกระเทย)แบบเดิมๆของผมไปโดยสิ้นเชิง

ความคิดของผมถูกท้าทายโดยบรรดา "สาวสวย" ที่ยืน กันหน้าสลอนอยู่ในสถานที่ ที่คนทั่วไปเรียกกันง่ายๆว่า "ล็อบบี้"

ครับ.... เข้ามาแรกๆผมก็เล่นเป็นกระเทยของผมแบบ "พองาม" ดีอยู่หรอกครับ จนกระทั่งมีข่าวลือรั่วไหลราวกับน้ำซึมตามฝาฝนัง ในหมู่สาวสวย (และรวมไปถึงหนุ่มหล่อ) ว่าผมเป็นกระเทยจริงๆ ทีนี้ล่ะครับ งานเข้าเลย

อย่างที่บอกครับ ข่าวลือมันเหมือน้ำที่ซึมฝาฝนัง ซึ่งสักวันมันต้องเกิดเหตการณ์ "น้ำแตกทะลุฝา" อย่างแน่นอน เพราะงั้นผมจึงจำเป็นต้องหาอะไรมาอุดรูรั่วๆนั่นซะก่อนที่น้ำมันจะแตก เพราะเดี๋ยวก็ท้องกันพอดี เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว (เหอเหอ)

ลำพังแค่ถูกคนสวยๆหาว่าเป็นกระเทย เท่านั้นมันก็เสียเหลี่ยมผู้ชายอย่างเราๆจะแย่อยู่แล้วนะครับ นี่ยิ่งถูกผู้ชายด้วยกันเองมองว่าเราเป็นกระเทยด้วยแล้ว มันยิ่งไปกันใหญ่

เพราะไอ้ชายแท้ๆมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ  แต่ไอ้พวกชายไม่แท้ะสิครับ มันอาจจะเห็นผมเป็นเหยื่อยอันโอชะขึ้นมาซะก็ได้ (ถึงแม้ว่าผมจะไม่หล่อ แต่ก็พอแก้ขัดได้ล่ะมั้ง? ฮ่าฮ่า)

เพราะงั้นก่อนที่จะเกิดเหตการณ์ "รถบรรทุกถั่วดำถูกวางระเบิด" ผมต้องรีบแก้ไขข่าวลือโดยด่วนที่สุด

แต่คำพูดมันก็เหมือนน้ำที่สาดไปแล้วมันก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้น่ะสิครับ  มันจึงทำให้ผมหนักใจมากเลยว่าจะทำยังไงถึงจะให้คนอื่นๆรู้สักทีว่า ผมเป็นชายแท้ 100%

ถึงตอนนี้ (ตอนที่เขียนอยู่) ผมยังถูกคนอื่นๆคิดอยู่เลยครับว่าผมเป็น กระเทย

ผู้ชายนี่สิครับไม่รู้จะอธิบายยังไง  บางที่อธิบายไปพวกเขาก็คงไม่เชื่อ

แต่กับฝ่ายผู้หญิงผมรู้แล้วล่ะครับว่าจะอธิบายยัง

ผูหญิงน่ะถ้าอธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ก็ต้อง "ปฏิบัติ" เลยสิครับ

เอาล่ะ!! ถ้าผูหญิงคนไหนไม่เชื่อว่าผมเป็นชายทั้งแท่งก็เชิญมาพิสูจน์ให้เห็นกับตัว เอ้ย..ให้เห็นกับตาเลยครับว่าความจริงเป็นเช่นไร



ด้วยวิธีที่ผู้ชายแท้ๆทั่วโลกก็รู้กันอยู่ว่าผมจะทำอย่างไร เพื่อให้สาวๆได้รับรู้ว่าผมเป็น ชายทั้งแท่ง!!!!   ฮิฮิฮิ...

(ขอหัวเราะแบบมีเลศนัยหน่อยนะครับ)

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

ถ้ากูเกิดมาเลือก(วันเกิด)ได้

    


วันก่อนเพื่อสนิทระดับเรียกชื่อพ่อแทนชื่อตัวเองของผมมาหาที่บ้าน พร้อมพาสิ่งๆหนึ่งที่ ชาวไทยส่วนใหญ่นิยมเรียกกันว่า "สุรา" มาฝากผม (ทั้งๆที่มาฝากแต่มันดันกระดกคนเดียวซะหมด มันยังมีหน้ามาเรียกว่าขิงฝาก)

    ขอออกตัวในความเป็นคนดีของผมก่อนนะครับว่า ตัวผมนั้นปรกติเป็นคนไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่อยู่แล้วนะครับ (ครั้งต่อไป ใครที่จะมาเยี่ยมผมอย่าชื้อของอย่างนี้มาฝากนะครับ เพราะคนจะได้กระดกมันเองซะทุกครั้ง)

    เรื่อง "สุรา" ช่างมันเถอะครับ เพื่อนๆจะเอามาฝากผม ผมก็ขอรับไว้เป็นน้ำใจก็แล้วกันนะครับ ไม่ว่ากัน มันยังดีหว่า ไม่มีใครเอาอะไรติดไม้ติดมือมาฝากเลย

     วันนี้ผมเองไม่ได้อยากจะเขียนเรื่องของ "สุรา" หรอกครับ แต่ว่าเพื่อนสนิทที่พาสุรามาฝากผมในวันนั้นมันทักผมเรื่องนึง ก็เลยอยากจะเอามาเขียนไว้หน่อยน่ะครับ

     ว่าแล้วขอย้อนเหตการณ์กลับไปวันนั้นนะครับ เมื่อเพื่อนผมมาถึง มันก็เกิดปรากฎการณ์ ปรากฎการณ์หนึ่งในแบบที่คนไทยนิยมเรียกอย่างเริศหรูอลังการว่า "ตั้งวง" และเมื่อเกิดปรากฎการณ์ ตั้งวง แล้ว เหตการอีกเหตการที่จะตามมาแน่นอนคือ "เมาชิปหาย" ครับ

     และนั่นเองเพื่อนผมเมื่อเมาได้ที่ มันเลยถามคำถามหนึ่งกับผม ด้วยน้ำเสียงที่พ่นออกมาจากลมปากผสมกลิ่น Lกฮ  ราวกับ "ชายเมืองสิงห์" ว่า

     "ไอบอล มึงเกิดวันอะไรวะ?"

      ผมตอบวันเกิดตัวเองให้มันไปแบบส่งๆ+มั่วๆว่า "วันศุกร์" ทั้งที่จริงๆอารมส์นั้นในหัวผมมันอยากจะตอบเพื่อนผมเหลือเกินว่า "มึงถามหาพ่องมึงเหรอ?" แต่เดี๋ยวอาจจะเกิดเหตการ คนเมากระโดดถีบหน้าสุดหล่อ ก็เป็นได้ ผมเลยเลือกที่จะอณุญาติให้คำว่า "วันศุกร์" ออกจากปากผมแทน

     เพื่อนผมหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ราวกับมันเพิ่งดูตลกชิงร้อยชิงล้านเสร็จมาหมาดๆก่อนจะพูดว่า

     "คนที่เกิดวันศุกร์นะเว้ยเพื่อน จะเป็นคนที่ มุทะลุ ขี้โมโห โกรธง่าย แต่หายเร็ว ปากเนี่ยจะไม่ดีหน่อย แต่จริงๆแล้วเป็นคนใจดีมากๆ     เออ...ตรงกับมึงเลยว่ะไอบอล"

     .....

     .....

     อ้าวไอเชี่ย มึงเป็นหมอดูตั้งแต่เมื่อไหร่วะ มาทายนิสัยของกูจากวันเกิด แถมยังพูดตบท้ายแบบน่าตบ(ให้หัวทิ่ม)อีกด้วยว่า "กูคอนเฟิร์ม"

     ไอที่มึงบอกมามีตรงอยู่ข้อเดียวเท่านั้นล่ะ คือ เป็นคนใจดีมากๆ  (จริงๆนะ ฮ่าฮ่า) นอกนั้นไม่มีอะไรตรงกะกูเลยสักอย่าง มึงยังจะมา คอนเฟิร์ม อีก

     หลังจากนั้นมันก็บอกนิสัยของคนที่เกิดตั้งแต่วัน อาทิตย์ ถึง จันทร์ ให้ผมฟังโดยที่มันไม่ถามผมสักคำว่า ผมอยากจะฟังมันบ้างรึเปล่า? (ไอหอก)

     ตอนนั้นผมทำท่าที่ โมโหและอยากจะไล่มันกลับบ้านเสียให้ได้เพราะมันล่วงเลยเวลามาจะ ตี 2 แล้ว แต่มันกลับพูดประโยค ประยคหนึ่งที่ ทำให้ผมต้อง หยุดชะงักฟังอีกครั้ง

     "คนที่เกิดวันศุกร์ ดวงความรักช่วงนี้มันไม่ค่อยดีว่ะ สิ่งที่ปราถนาจากคนรักก็จะไม่ได้ตามปราถนา มีเกณฑ์จะต้องห่างไกลกันสักพักและจะมีคนเข้ามาแทรกกลาง ฉะนั้น มึงจนระวังไว้ให้ดีนะเว้ย"

     ประโยคนี้ทำให้ผมถึงกับเหงื่อตก เพราะมัน แตกต่างกับ  ประโยคแรกที่เพื่อนผมพูด คือมัน ตรงกับผมไปซะทุกอย่างเลยครับ

     ครับ....ช่วงนั้นผมมีปัญหากับแฟน และเราต้องแยกห่างกันพอดี และพอเพือ่นผมพูดขึ้นมาแบบนั้น ทำให้ผมนึกถึงสมัยเรียนเลยนะครับ เพราะเพื่อนของผมหลายๆคนก็ชอบทำตัวเป็นหมอดูทำนาย นิสัย ความรัก และ ทำนายอีกหลายๆอย่างจากวันเกิดของเพื่อนๆด้วยกันเองอยู่บ่อยๆ

     ว่าแล้วสิ่งที่ผมจะได้ยินบ่อยๆคือ ไอพวกนี้ม กจะพูดเป็นกลาง คือพูดให้เรื่องดีปนกับเรื่องร้ายเข้าไว้น่ะครับ ไม่ใช่ว่าดีไปซะหมด หรือร้ายไปซะทุกเรื่อง


     และเพื่อนๆที่ถูกเพื่อนดูดวงให้บางคนก็ดันบอกว่าแม่นอีกต่างหาก

     ทั้งๆที่หากลองคิดดูแล้ว หากทายถูกแค่สักเรื่อง หรือ 2เรื่อง เขาก็จะบอกว่าแม่นแล้ว แมร่งแล้วที่มันทายผิดมาเป็นสิบๆข้อทำไมมึงไม่บอกมันว่า ไม่แม่นมั้งวะ

     ทายถูก เรื่อง 2 เรื่องคนเราก็เป็นหมอดูกันได้แล้ว  เออ....มันแปลกดีเหมือนกันนะครับ

     ขณะที่ผมคิดเรื่องนี้อยู่ในหัวเพื่อนผมก็ถามคำถามหนึ่งขึ้นมาอีกว่า

     "ถ้ามึงเลือกได้มึงอยากจะเลือกเกิดวันไหนวะ?"

      ผมนิ่งเงียบสักพักก่อนจะจะตอบกลับมันไปว่า "กูอยากจะเกิดวันอังคารว่ะ"

     "ทำไมวะ" เพื่อนผมถามกลับมา

     ผมยิ้มก่อนจะตอบมันแบบสบายอารมส์ว่า

"เพราะวันอังคารมีรายการชิงร้อยชิงล้านนี่หว่า"

(ผมชอบรายการนี้จริงๆนะ)