วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หัวหน้าที่รัก



     มีสาระครับ วันนี้มีสาระนะครับขอบอก.....

     แหม....มาถึงก็จั่วหัวแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษหรอกนะครับ เพียงแต่ว่า เนี่ยงจากตัวผมเองก็เป็น "นักเขียน" บทความที่ไม่ค่อยจะมีอะไรที่คนส่วนใหญ่โดยทั่วไปเรียกมันว่า "สาระ" สักเท่าไหร่

     คนบางคนถึงขนาดเลื่อน "บรรดาศัก" ให้ "บทความ" ของผม เปลี่ยนแปลงไปเป็น "บทควาย" ซะอย่างนั้น

     ว่าแล้ววันนี้เลยขอมาเขียนอะไรที่มัน "มีสาระ" กันสักหน่อยดีกว่านะครับ

     วันนี้ผมจึงอยากจะมาเขียนถึง "หัวหน้า" กันดีกว่านะครับ

   

     ผมเชื่อเหลือเกินว่า หลายๆคนใน "สยามประเทศ" แห่งนี้ ต่างก็มีอาชีพ "เป็นลูกน้อง" ของคนอีกหลายๆคน หรือไม่บางคนก็ "ยิ่งใหญ่" ได้ยศถึงขนาดเป็นหัวหน้ากับเขากันแล้ว   แต่เคยรู้กันรึเปล่าครับว่า หัวหน้าที่ดีควรมี "ลักษณะ" รวมถึง "นิสัยใจคอ" อย่างไร? ถึงจะเรียกว่า หัวหน้าที่ดีได้


     ผมเคยทำงานเป็น "ลูกน้อง" ของเขามาก็หลายครั้งเหมือนกัน แถมครั้งหนึ่งในชีวิตผมเองก็เคยได้เป็นหัวหน้ากะคนอื่นเขาด้วยอีกต่างหาก แต่ผมกลับไม่เคยรู้ถึงการเป็น "หัวหน้าที่ดี" เลยว่าควรทำอย่างไร?

     อนึ่ง....หนึ่งครั้งในชีวิตที่ผมได้มีโอกาสเป็นหัวหน้ากับเขา เพราะร้านที่ผมเข้าไปสมัครทำงาน มัน "เสือก" มีแต่ "ชาวพม่า ชาวลาว และชาวประเทศเพื่อนบ้าน" เป็นเพื่อนร่วมงานทั้งหมดน่ะสิครับ เพราะงั้นผมในฐานะที่เป็นคนเดียวที่พูด "ไทยและอังกฤษ" ได้รู้เรื่องที่สุดได้รับ "อาณิสงค์" ได้เป็น "หัวหน้า"คนพวกนี้แบบในวงเล็บไว้ด้วยว่า "ซะอย่างงั้น" ฮ่าฮ่าฮ่า


      เพราะอย่างนั้นวันนี้ผมเลยจะมีเขียนถึง "บุคลิก" และ "คุณสมบัติ" ที่ดีที่ "หัวหน้า" พึงจะต้องมีกันนะครับ.......หากแต่ท่านไม่มีสิ่งที่ผมเขียนเหล่านี้ไว้ติดตัวมั้งแล้วล่ะก็ ท่านอาจจะได้กลายร่างจาก "หัวหน้า" มาเป็น "หมาหัวเน่า" แทนก็ได้นะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

     ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเป็นข้อๆเลยดีกว่านะครับ

          1 : รู้จักกับคำว่า "บริหาร" ดียิ่งกว่าตัวแม่
     หากเป็นผู้นำของ "คน" หรือของอะไรก็ตามแต่คุณเหอะ แต่ถ้าคุณกลับไม่รู้เรื่องห่าเหวอะไรเกี่ยวกับ "การบริหาร" เลย ก็กรุณา กลับบ้านไป "แขวนคอตาย" สักสองร้อยรอบนะครับ มันถึงจะสาสม ต้นเหตุที่ แมร่ง....ทำห่าอะไรไม่เป็น
     ในการบริหาร หากพวกเราจะพูดอีกแบบก็คือ "การบริหารคน" นั่นเอง เพราะ "ตัวของบุคคล" นั่นแหล่ะจะเป็นผู้กำหนก "ทิศทางขององกรค์" หรือทิศทางของ "เป้าหมาย" ได้ เพราะงั้น ต้องศึกษาเรียนรู้หลักการ บริหารที่ดีและถูกหลัก และ นำมา "ประยุกค์" ใช้ให้เข้ากับ "อุปนิสัย และ สันดาน" ของตัวหัวหน้าเองด้วยนะครับ หากแต่บางครั้งการบริหารกัีบตัวบุคคลอย่างเดียว เหมือนที่ "บริหาร" กับ "เมีย" ทุกๆคืนก่อนนอนมันก็ไม่อาจจะช่วยอะไรขึ้นมาได้สักเท่าไหร่ เพราะงั้นก็ควรที่จะเรียนรู้การบริหารทางด้าน "จิตใจ" หรือ "จิตวิทยา" ด้วยเหมือนกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อ "ผลงาน" ที่จะได้รับ

          2 : เฮ้ย!!!!.....อย่าให้มันมากหรือน้อยไปเด้!!!!!
     จั่วหัวข้อ 2 มาหลายๆคนๆคงถึงกับ "งอ งู 2 ตัว" ว่า อะไรของมันวะ? แต่ผมจะอธิบายง่ายๆแล้วกันนะครับว่าเขาเรียกมันว่า "ระยะห่าง" ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องนั่นเอง พูดง่ายๆก็คือ คุณต้องรักษาระยะความห่างของคุณกับลูกน้องเอาไว้ อย่าให้มันห่างมากไป หรือ ใกล้กันมากเกิน เพราะไม่อย่างนั้น ความ "Shipหาย" อาจจะตามมาได้ในภายภาคหน้า
     คิดในแบบง่ายๆ ผมจะลองยกตัวอย่างให้ดู หากคุณ "ทิ้งระยะ" กับลูกน้องมากเกินไป ลูกน้องอาจจะเกิด "อคติ" กับตัวคุณได้ อย่างเช่นว่า "แมร่ง...ทำไมใช้แต่กรูวะ" หรือ "เออ ก็กรูมันไม่ใช่ลูกรักนี่หว่า" หรือ "วันๆเดินด่าแต่กรูคนเดียวนั่นแหล่ะ ไม่ต้องทำห่าอะไรแล้ว" ทำนองนี้ไงล่ะครับ ซึ่งแน่นอนมันไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระยะยาวอย่างยิ่งยวด แต่ทางกลับกัน หากคุณ "อณุญาติ" ให้ลูกน้องของคุณ "เขยิบ" เข้ามาใกล้คุณมากเกิน บางทีคุณอาจจะถูกลูกน้อง "ตบหัวทิ่ม"  "ด่าบุพการี" หรือทำอะไรที่เรามักจะเรียกกันว่า "ลามปาม" เอาก็เป็นได้ เพราะแบบนี้ คุณจึงรู้จักวางตัวไว้ในระยะที่พอดีกับคุณเองแล้วก็ลูกน้องจะดีที่สุด   อย่าให้มันเกิดเหตูการณ์ "บรรลัย" ขึ้นมาได้

          3 : มีความกล้าหาญ เด็ดเดียว และ ดึ๋งดั๋ง!!!!!
     การเป็นหัวหน้าของคนคุณต้องไม่หวาดกลัวต่อความ "ยากลำบาก" "ความอันตราย" และ "ความเจ็บปวด" ใดๆทั้งสิ้น ที่สำคัญ ห้ามใช้ สลิง ห้ามใช้แสตนด์อิน ต้อง "เล่นจริง เจ็บจริง บริหารจริงๆ" ไปเลย เพราะบางทีคุณอาจจะต้องเจอกัับการ "โจมตี" ในรูป "กาย วาจา ใจ" ก็เป็นได้ เพราะแบบนั้นผู้นำต้องกล้าที่จะ "ผจญภัย" ต่อสิ่งเหล่านี้
     ความกล้าหาญจะช่วยให้คุณและลูกน้องสู้ต่องานต่างๆสำเร็จและลุล่วงไปได้ด้วยดี หากแต่คุณมีแต่ความ "กล้าคูณ" โดยไม่มีความกล้าหาร (กล้าหาญ)เลยมันก็คงจะทำให้คุณพุ่งชนความ "บัดซบ" ในหน้าที่การงานในที่สุด     แถมบางครั้งหัวหน้าของบางหน่วยงานอาจจะต้องมีความ "กล้าได้กล้าเสีย" อีกด้วย ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนธรรมดาทั่วไปจะมีเพียงความกล้า (ที่จะ) "ได้เสีย" อย่างเดียวเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า

          4 : ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
     การมี "เพศสัมพันธ์" ที่ดีหาได้ง่ายๆจากคนทั่วไปในสยามประเทศที่มันเริ่มจะ "เจริญลงเรื่อยๆทุกวัน" แห่งนี้ แต่หากคุณเป็นหัวหน้าคนคุณต้องมีอะไรที่มันเหนือชั้นกว่าเพศสัมพันธ์ นั่นคือการมี "มนุษย์สัมพันธ์" ที่ดีเพราะในตำแหน่งหัวหน้ามันจำเป็นที่จะต้อง "ติดต่อประสานงาน" กับเหล่า "ลูกน้อง" หรือ "ลูกค้า" และอาจจะรวมถึง หัวหน้าคนอื่นๆด้วย เพราะแบบนั้น จึงควรรู้จักที่จะ "ผูกมิตรมากกว่าเก่งเพียงแต่การสร้างศตรู" นะครับ
     "การเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง" และหากคุณเป็นคนรู้จักผูกมิตรแล้วล่ะก็ การเริ่มต้นของคุณก็จะไม่ยุ่งยากเลย หากแต่คิดเพียงแต่จะสร้าง "ศตรู" ใช้อำนาจของตัวเอง "วางกล้าม" ข่มคนอื่นจนเป็นที่ "เกลียดขี้หน้า" แล้วล่ะก็ งานที่คุณจะต้องเจอมันอาจจะ "หนักหนาสาหัส" จนคุณเองก็รับมันไม่ไหวเหมือนกันล่ะครับ

          5 : ลูกน้องก็คนนะโว้ย!!!!!!
     ข้อนี้ผมคิดเองเออเองนะครับ เพราะตั้งแต่สมัยทำงานมานานมากแล้่วผมมักจะได้ยินประจำกับคำกล่าที่ "เลิศหรู" ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" และไม่ว่าจะเกิด "ห่าเหวหอกหัก" อะไรขึ้นระหว่างเหล่า "ลูกน้อง" กับ "ลูกค้า" เชื่อเหลือเกินว่า โดยส่วนมาก คนที่ถูกด่าจะเป็นลูกน้อง!!!!
     ครับเคยเจอมาแล้ว ด่าลูกน้องโดนไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นเลย ด่าลูกน้องเสร็จไม่พอ มันยังมีหน้ากลับไป "ขอโทษลูกค้า" อีกทั้งๆที่ คนที่กระทำ "ความผิด" จริงๆคือลูกค้าแท้ๆ ไม่ใช่ลูกน้อง เพราะแบบนั้น หากเกิดเหตการอะไรขึ้น "กรุณา" ถามหา "เหตผล" หรือ "ความเป็นมาเป็นไป" ก่อนดีกว่าจะระบุว่าใครเป็นคนผิด
     ผมคิดเอาว่าหากบอกว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" นั่นหมายถึงลูกค้าจะไม่มีความผิดเชี่ยอะไรเลย ต่อให้ฆ่า "บุพการี" ของใครตายก็ตาม เพราะท่านเป็น "พระเจ้า" นี่นา จริงมั๊ย? หากแต่เราบอกว่า "ลูกค้าสำคัญที่สุด" แบบนี้หมายถึงว่า ลูกค้ามีความสำคัญที่สุด แต่ก็ยังคงเป็นคนซึ่ง "กระทำความผิดได้"        เพราะนั้นหัดเข้าใจความรู้สึกของลูกน้องในหลายๆเรื่องด้วยนะครับ เพราะดีไม่ดี คุณอาจจะโดนลูกน้องด่าเอาใน "ภายภาคหน้า" ได้ว่า "กรูก็เป็นคนนะโว้ย!!!!!!!"




     ครับ นี่คือสิ่งที่หัวหน้าพึงจะมี...แต่กรุณาอย่าคิดนะครับว่าถ้าหากคุณมีครบแล้วมันจะหมายความว่า "คุณเป็นหัวหน้าที่ดีที่สุด" เพราะจริงๆแล้ว หัวหน้าที่ดี จำเป็นต้องมีหลายๆ "ปัจจัย" ประกอบด้วยกันหลายอย่างไม่ใช่เฉพาะ "เรื่องส่วนตัว" หรือ "ส่วนบุคคล" และยังมีในอีกหลายๆสิ่งที่มีความ "สำคัญ" ต่อการเป็นหัวหน้าที่ดีด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าใน "บทความ" นี้ผมยกตัวอย่างมาแต่สิ่งที่ผมเคยได้ "ประสบณ์" มากับตัวเท่านั้น การเป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้มีแค่ 5 ข้อง่ายๆแค่นี้หรอกครับ

     แต่อย่างน้อยผม "เชื่อ" เหลือเกินว่าหากคุณสามารถเป็นอย่างทั้งหมดที่ผมกล่าวมาได้แล้วล่ะก็ ถึงมันอาจะจะทำให้คุณเป็นหัวหน้าที่ดีที่สุดของลูดน้องคุณไม่ได้




"แต่มันต้องทำให้คุณเป้นหัวหน้าที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ"






วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากคืนวันอันแสนซวย


     เนื่องด้วยจากการที่ผมเป็นผู้ที่ "มีจิตรศัทธา" และขาย "วิญญาณ" ให้แก่ ผีสามง่าม "ปิศาจแดง" (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) มาตั้งแต่วัยยังล่ะอ่อน ว่าแล้ววันนี้ผมจะมาเขียนบทความถึงอะไรที่เกี่ยวกับ "ฟุตบอล" สักเล็กน้อย เพราะตอนนี้หากหลายท่านที่เป็นแฟนบอลตัวยงคงจะรู้กันดีว่า เวลานี้คือเวลาที่ "พรีเมียร์้ลีก" ฤดูกาลใหม่ (2011-2012)กำลังจะเดินทางถึงช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อของฤดูกาลแล้วนะครับ (ปลายปี 2011-ต้นปี2012)

     ว่าแล้วเราก็มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

     ย้อนกลับไปเมื่่อวันที่เท่าไหร่ผมเองก็ไม่ทราบ เพราะผมไม่ค่อยอยากจะจำมันสักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นวันที่ แมนฯยูฯ ของผมถูก "เจ้ายุโรป" คนปัจจุบันอย่าง "บาเซโล่น่า" สอนเชิงบอลแบบ "สิ้นสภาพนักศึกษา" ผม ตอนนั้นที่ห่ม "อาภรณ์" ของปีศาจสีแดง รู้สึกเจ็บซ้ำ และน้อยเนื้อต่ำใจถึงอารมส์ของผู้พ่ายแพ้อย่างรุนแรง

     อาการนี้ยังแสดงออกทางนายใหญ่ของค่ายปิศาจ 3 ง่ามอย่าง "ป๋าเฟอร์กี้" เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน อีกด้วย เพราะหากใครได้ดูการถ่ายทอดสดในนัดนั้นแล้วล่ะก็จะเห็นได้ว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ ป๋าแก "กำและเกร็งหมัด" อย่างรุนแรงพลางทำมือสั่น ยิกๆๆๆๆ เหมือนคนที่มี "อาการทางจิต" อย่างไรอย่างนั้น

     บางคนก็ว่า ป๋าแกแสดงออกถึงอาการ "คับแค้น และเคียดแค้นใจ" อย่างรุนแรงในรูปแบบของคนแก่อายุ 70 ปี

     บ้างก็ว่าป๋าแกคงหนาว.....

     แต่สำหรับตัวผม ผมคิดว่าป๋าแกคง "ปวดขี้" มากกว่าล่ะครับ เพราะอาการของแกเหมือนกับผมในเวลาที่ผมกำลัง "อั้นขี้" อย่างไงอย่างนั้นเลยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

     มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าครับ.........

     พลันหลังจากสิ้นสุดเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน ผมลากตัวเองซึ่งอาการนั้นกำลังตกอยู่ใน "ภวังค์แห่งความเสียใจ" และมีอาการเหมือนคน "เซ็กส์เสื่อม" ซึ่งต่อให้นางเอกหนัง AV แดนปลาดิบอย่าง "โซระ อาโออิ" มาแก้ผ้าถ่างขาให้กูดู กูก็ไม่แข็ง!!!!!!!

     ผมเดินผ่านดง (ฝูง) สุนัขหลายตัวที่กำลัง "เห่าหอน" กันอย่างสบายอารมส์ ทั้งๆที่ทีมของตัวเองไม่ได้เข้าชิงแชมป์กับเขาเลยสักหน่อย (หลายคนคงจะรู้ว่าเป็นแฟนของทีมอะไร อิอิ)

     ผมเดินผ่าน ถนนสาย "ปล่าวเปลี่ยว" ด้วยอารมส์ที่ "เปลี่ยวปล่าว" ประกอบกับข้างทางที่ยังคงเสียง "เห่าหอน" ของฝูงสุนัขผู้รักใน "เป็ดสีแดง" อยู่ตลอดเวลา

     พลันใดนั้น ด้วยสายตาที่คมดุจดั่ง "เหยี่ยว" ของผม ผมได้หันไปเห็น เด็กหนุ่มกำลังในคราบสีเสื้อของ "ผีแดง" กำลัง "กระทืบ" สาวสวยผู้หนึ่งที่ใส่อาภรณ์ (น้อยชิ้น) ในคราบของ "บาเซโลน่า"

     ด้วยความที่เป็นคนดีที่ไม่เคย "ฝักใฝ่ความรุนแรง" บวกกับทนเห็นเพื่อนผีแดงด้วยกัน กระทำความรุนแรงต่อ สุภาพสตรี ไม่ไหว (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายหญิงที่ถูกกระทำ ดันอยู่น่า.... เหลือเกิน)

     เพราะงั้น ความเป็น "สุภาพบุรุษ" ในตัวผมเลยบังคับตีนของผมให้ "เดิน" เข้าไปห้ามทัพการบุกโจมตีของ เด็กหนุึุ่่มที่หน้าตาราวกับ "ตะกวดข้างๆวัดร้าง" ทั้งๆที่มันไม่ใช่ธุระห่าเหวอะไรของผมเลย

     ผมซึ่งไม่ค่อยชอบทาน "ใบสะระแหน่" แต่ก็ชอบที่จะ "สาระแน" ซะเหลือเกิน เดินไปบอกกับน้องหนุ่มผู้ มาดแมนแบบหมดแม็กว่า

     "ว่าเวลาน้ำท่วม สิ่งที่ทำเป็นคันกั้นน้ำได้ดีที่สุดก็คือ กระสอบทราย"  

     ถุย์!!!!!!! ไอ้บ้า  ผมได้พูดอย่างนั้นซะที่ไหนกันล่ะครับ ผมเพียงแค่เดินเข้าไปบอกกับน้องเขาว่า "มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ?....ค่อยๆพูดกันก็ได้ นะครับน้อง"

     เท่านั้นแหล่ะ เท่านั้นจริงๆ!!!!

     ด้วยความหวังดี (และกะจะโชว์ความเป็นยอดคนสุภาพบุรุษต่อหน้าหญิงแสนสวยที่ถูกทำร้าย) ผมได้พูดไปเท่านั้นจริงๆ ก่อนที่ไอ้เด็กหน้าตาไม่ได้แตกต่างจาก "ปลากะโห้" สักเท่าไหร่ หันกลับมาเห่าใส่ผมว่า

     "มรึงเสือกอะไรของมึงวะ?"

     อ้าว ไอ้เชี่ย!!!.....นี่ กรู "หวังดี" นะโว้ยถึงได้เข้ามาห้ามทัพสหบาทาที่พุ่งใส่หน้าของน้องเขา แต่ความหวังดีของกรูกลับไม่มีผลอะไรกับคนที่หน้าตาเหมือน "ปลากะโห้" ไม่พอ แต่ยังดึงดูด สัตว์น้ำที่เรียกว่า "ปลาตีน" อีกต่างหากอย่างมรึงเลยเรอะ?

     ว่าแล้วมันก็ทำหน้าไม่พอใจและทำท่าจะเอาตีนมามันยัดเยียดให้ผมกิน ผมก็สวนออกไป (ด้วยคำพูด) ว่า

     "ไม่หรอกครับน้อง พอดีนึกว่าน้องมีเรื่องกัน ก็เลยจะเข้ามาห้ามน่ะครับ"

     "ใครใช้ให้มรึงมาวะ?"    แน่ะ มันยังมีแถม

     อ้าว ...  ไอ้น้องคนนี้มันยังคงกวนตีนไม่เลิกครับ และท่าทางตอนนี้มันจะเบนเข็มมาเล่นงานผมด้วยอีกคน

     เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงต้องโชว์ความ "แมน" อย่างเต็มที่ด้วยการ หยุดพูดกะไอ้หน้าปลากะโห้ แล้วหันมาพยุงน้องผู้หญิง ที่อยู่ในสภาพนุ่งน้อยห่มน้อยให้ลุกยืนขึ้นมา

     สารภาพตามตรงนะครับ ว่าน้องคนนี้จัดอยู่ในประเภท "อู๊ย ซี๊ด~~~~~" เลยที่เดียวเชียวครับ ซึ่งอรมส์นั้นที่ผมเห้นน้องเขายืนขึ้นมา ผมนึกถึง "หนังเรท X" ขึ้นมา ในท่วงท่าที่พระนาง กำลังจะ "สำเร็จวิชาตัวเบาพอดีเลยล่ะครับ"

     "น้องเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?" คือคำถามแรกที่ผมถามเจ้าหล่อนไป

     สาวนางนั้นหันมาแลวพูดกับผมว่า   "พี่มาเสือกอะไรกับเรื่องผัวเมียของชาวบ้านเขาคะ"

     !!!!!!!!!! ผมตกใจเป็นภาษาฮ่องกง อย่างจัง ก่อนความคิดที่ว่า "อ้าวเชี่ย นี่กรูมายุ่งเรื่องชาวบ้านเหรอเนี่ย?"จะตามมาติดๆกับอาการ "ตกใจ"

     ................

     ...............................

     อายสิครับงานนี้ อายจนแทบเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีกันเลยทีเดียว  ว่าแล้วผมก็รีบผละออกจากสถานที่เกิดเหตุโดยไม่ต้องรอให้ (ไอ้) 2ตัวนั่นมันพูดห่าเหวหอกหักอะไรใส่ผมอีกก่อนจะใส่ "เกียร์หมา" เต้มตีนเตี่ย วิ่งหายวับเข้าไปในความมืดราวกับ "ผีเดินทะลุต้นไม้"

     ก่อนจะมาคิดทีหลังว่า วันนี้ผมช่าง "ซวยมหาซวย" อะไรเช่นนี้

     ว่าแล้วนิทานที่ผมได้ประสบณ์กับตัวเองมามันสอนให้ผมได้รู้อะไรบางอย่างล่ะครับ




"กรุณาอย่าสาระแนเรื่องของชาวบ้านเขา"





วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประสบการณ์เสียว

     ก่อนอื่นต้องขอกล่าว "ขอโทษ" ให้กับผู้ที่มีจิตรศัทธา และ "รอคอย" การกลับมาของบทความของผมอย่างใจจดใจจ่อ (ถึงจะมีไม่กี่คนก็เหอะ)

     ผมดีใจมาครับ ที่มีคนมาบอกในหน้า "Facebook" ของผมว่า "นู๋ส์รออ่านบทควายของพี่อยู่นะคะ"

     แหม ....มันทำให้ผมดีใจเหลือเกินนะครับ ขอบอก!!!

     ขอแจกแจงด้วยเรื่องที่ผมหายไปก่อนนะครับ ว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่า "อาการทางจิต" ที่ไม่ค่อยจะปรกติ ของผม ซึ่งทำให้ผมต้องว่างเว้นจากการ "เขียนบทความ" ไปเกือบ จะ 3เดือนเต็มๆ (มั้ง?)

     พูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือ ผมมีอาการ "ขี้น้อยใจ" มากจนผิดปรกติกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา มันเลยทำให้ผมต้องพักการเขียนของผมไป

     แต่ หากจะถามว่าผมน้อยใจ ในเรื่องอะไร?     ผมว่า......อย่าไปใส่ใจมันเลยดีกว่านะครับ!!!!

     ตอนนี้เรามาเริ่มบทความของผมกันเลยดีกว่าครับ (วันนี้ขอสั้นๆหน่อยก็แล้วกันเพราะผมขี้เกียจพิมพ์ อิอิ)





    

     อันเนื่องมาจากว่า เมื่อหลายวัน ณ สนามบาสฯ ของจังหวัดที่กำลังพัฒนาแห่ง ซึ่งผมและเพื่อนได้ไปเล่นบาสฯกัน และระหว่างพักเหนื่อย เพื่อนผมคนหนึ่งก็ได้ทายคำถามกับผมว่า

     "ไอพัท มึงรู้ป่าว ว่าเวลาครูสาวๆสวยเข้าสอนในชั้นเรียน ม. 5 ช่วงเวลาไหนของคาบ เสียวที่สุด?"

     ได้ยินคำถาม ผมทำหน้าเหมือน "หมาฉงน" และ "งงงวย" ในคำถามที่สุดแสนจะโครตไม่รู้เรื่องของมัน ก่อนจะตอบไปแบบสุภาพชนว่า ไปถามเตี่ยคุณดูสิครับ ไอหอกหัก!!??!!"

     แหม....คุณเพื่อนที่เคารพรัก กูจะไปรู้มั๊ยว่า ช่วงไหนของคาบมันเสียวที่สุด เพราะผมเองก็ไม่เคยเสียวในระหว่างเรียนซะด้วยสิ จะมีก็แต่ "ขี้แพร่ด" ระหว่างคาบเรียนเท่านั้นแหล่ะครับ ที่ผมเคยประสบณ์กับตัวเองมา ( อนึ่ง ขี้แพร่ดในที่นี้หมายถึง เวลาที่เราคิดว่าเราจะตด แต่พอตดแล้ว ดันมีขี้ติดอออกมาด้วยน่ะสิครับ)

     สุดท้ายคำเฉลยก็พ่นออกมาจากรูปปากมันว่า

     " 2 นาทีก่อนหมดคาบไงเพื่อน"

     ผมทำหน้าเหมือน "หมางง" อีกครั้งก่อนจะถามมันว่า   "แล้วมันเสียวตรงไหนวะ?"

     "อ้าว มึงนี่ควายอีกแล้ว ก็เสียวตอนที่ใกล้จะเสร็จ (หมดคาบ) แล้วไง  ไอ้โง่!!!     หรือเวลาที่มึงเกือบจะเสร็จ มึงไม่เสียวเหมือนชาวบ้านเขาวะ!!!!????!!!!!"

     ได้ยินดังนั้นผมถึงกับรู็สึกรันทดให้ใน "ความอุบาทว์" ที่เกินจะเยียวยา รักษาให้หายได้ของเพื่อนผมที่มันอุตส่าห์ไปเสาะหาคำถามที่แสนจะ "อัปรี" แบบนี้มาทายผมได้

     แต่ช่างมันเหอะครับ เพราะว่า มันอุบาทว์ลามกอย่างนั้นแหล่ะ มันเลยคุยกับผมรู็เรื่อง ฮ่าฮ่าฮ่า

     หลังจากแพ้ให้กับคำถามที่สุนแสนจะกวนส้น Teen ของเพื่อนผม ตัวผมเองถึงกับ "กระฟัดกระเฟียด" และเกิดอาการ "ยอมไม่ได้" ขึ้นมาทันทีทันใด

     ว่าแล้วผมต้องหาอะไรมากวน Teen มันตอบ เพื่อให้มันรู้ไว้ซะบ้างว่า "เรื่องเลวๆ กูก็ไม่แพ้ใครเว้ยเฮ้ย" (เหอเหอ)

     ว่าแล้วผมก็เล่าถึง "ประสบการณ์เสียวที่สุดในชีวิต" ให้เพื่อนของผมฟัง

     เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผมทำงานอยู่ที่โรงแรมระดับเดียวกับ "ไก่ย่าง" (5ดาว) แห่งหนึ่ง ซึ่งในเวลานั้น เป็นตอนกลางคืนประมาน ตี 1- 2 

     ผมและเพื่อนผู้หญิงสุดแสนจะ "เอ็กซ์แตก" ของผม (ขออณูญาติเอ่ยชื่อหล่อนในบทความนี้ว่า น้อง J นะครับ) ได้ขึ้นไปสำรวจ ดาดฟ้าชั้นบนสุดของโรงแรม กัน 2 ต่อ 2!!??!!

     ทันทีทันใดที่ผมและน้อง J ขึ้นไปถึงบนดาดฟ้าที่ทั้ง "มืดมิด" และ "เงียบงัน" ซึ่งมีเพียงแค่ลม บางๆปะทะผิวกายของพวกเรา 2 คน      น้อง J ก็เดินไปที่ ขอบตึก และปล่อยให้ลมข้างล่างพัดขึ้นมากระทบกับเสื้อ และ ทำให้มันพองออกจนแทบจะมองเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ข้างในมันคือ "ยี่ห้อ และ คัฟอะไร!!!!"

     เท่านั้นไม่พอ น้อง J คนสวยแสนงามของผม ก็จัดการ "ยื่น" คอออกไปนอกรั้วตึก และหยุดชะงักในท่าโก้งโค้ง (ซึ่งท่านี้ทำให้กระโปรงน้อง J ที่สั้นอยู่แล้ว กระชับขึ้นมาและสั้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวเลยทีเดียว)

     ทำแล้วไม่ทำเปล่า น้อง J หันมาสบตากับผมที่ยืนอยู่ข้างหลัง ด้วยสายตาที่ "กริ้มกรุ่ม" ราวกับจะบอกเป็นนัยส์ๆ ว่า เธออยากจะลองประสบการณ์ที่ "แปลกใหม่และร้าวใจ" บนที่สูงเสียดฟ้าเช่นนี้ แล้วก็พูดออกมาว่า "ตรงนี้บรรยากาศดีมากเลยน้าส์   ไหนๆก็มีแค่เรา 2 คนแล้ว พัทก็มาตรงนี้หน่อยสิ!!!!!!"

     ผมขอใส่เครื่องหมาย "อัศเจรีย์" (เครื่องหมายตกใจ) ทีเดียว 6 ตัวแมร่งเลยครับ และด้วยอารมาศ์นั้นที่ผมรู้สึกจะ "ช่ะหวี วี่ วี๊" ขึ้นมาแบบสุดตีนเตี่ย!! ผมเลยตักสินใจเดินไปที่บริเวณบั้นท้ายที่งามงอน ของน้อง J พร้อมกับจ้องมองตาเป็นมันวาว แบบไม่กระพริบ

     ทันใดนั้นเอง น้อง J ก็เอ่ยขึ้นว่า "อยากเห็นอะไรสวยๆงามๆมั๊ย?"

     เท่านั้นแหล่ะครับ ผมเริ่มลงมือ "ปฏิบัติ" ทำในสิ่งที่ น้อง J ขอมาอย่าง "เต็มเหนี่ยวไปเลยพี่ เต็มที่ไปเลยน้อง" โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เลยแม่แต่นิดเดียว

     หลังผ่านไปไม่ถึง 10 นาที เมื่อ "ความเสียว" ผมถึงระดับ "สูงสุง"  บางสิ่งบางอย่างที่เป็น "ของเหลว" ก็ไหลออกมาจาก "น้องชาย" ของผมราวกับ ก๊อกน้ำระเบิด ผสมกับ "ตอปิโดนาปาล์ม" ที่รอเวลาจุดระเบิดมาราวๆ 200 ปี!!! (คือมันต้องรุนแรงมาก)

     หลังจากนั้นผมถึงกับนั่งทรุดเข่าลงพื้น พร้อมกับ "เหงื่อ" ที่ไหลท่วมตัวราวกับคนเพิ่งเล่นสงกรานมาหมาดๆ และทันใดนั้นเอง น้อง J ก็เดินเข้ามาตบหลังผมเบาๆ และเอ่ยถามว่า "เป็นอะไรมากรึเปล่า?"

     ผมซึ่งตอนนั้น แก้มอาบไปด้วย "น้ำตา" ทั้ง 2 ข้าง บวกกับ "เหงื่อ" ที่ยิ่งทวีคุณมากขึ้นกว่าเดิม ตอบกลับ น้อง J ไปอย่างสุภาพชนว่า




"ไอ้ หัว... มึงไม่น่าให้กูชะเง้อออกไปนอกรั้วเลย มึงเห็นมั๊ยว่ากู 'ฉี่' แตกเลยเนี่ย มึงก็รู้ว่า กูกลัวความสูง!!??!!"



(นี่แหล่ประสบการณ์เสียวที่สุดในชีวิตผม เหอเหอ)



วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กรุงเทพฯ น่าอยู่ตรงไหนวะ!!??!!

   
     วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ผมได้วางตูดตัวเองบนเบาะนุ่มๆ ที่เปื้อนไปด้วย "ไรฝุ่น" ที่ทางการรถไฟได้จัดเตรียมให้ผม โดยการแลกกับ "ความฉิบหายในกระเป๋าสะตางค์" ของผมเป็นจำนวน 500 บาท

     ครับ ผมกำลังจะเดินทางมาเที่ยว "เมืองแ่ห่ง ศิวิลัย นครที่ครึกครื้นตลอดทั้งคืนและไม่เคยหลับไหล" (โดยเฉพาะ แถวๆ รัชดา อันนี้เพื่อนผมบอกมานะ) หรือที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า กรุงเทพมหานครฯ (กทม.) นั่นเอง

     บนรถไฟที่คนบ้านๆแถวๆนี้เรียกกันง่ายๆว่า "ชั้นนอนพัดลม" แต่ผมขอเรียกชั้นนี้ว่าเส้นแบ่งเขตแดนระหว่าง "นรก กับ สวรรค์" เพราะมันอยู่ติดกับห้องนอนแอร์ที่ถือเป็นสวรรค์ โดยหากเราเดินออกมาจากห้องนอนแอร์มาที่ตู้ที่ผมโดยสาร มันก็จะกลายเป็นนรกทันที เพราะทั้ง "การบริการ" และ "ความสะอาดสะอ้าน" แตกต่างกันราว "นางแบบสุดสวย กะ ไอขี้เหร่หน้าปากซอย" อย่างไงอย่างงั้น ฮ่าฮ่า

     ผมใช้เวลาบนรถไฟไปทั้งสิ้นประมาณ "16 ชั่วโมงเหลือๆ!?!"

     ขอย้ำว่า 16 ชั่วโมงนะครับ 16ชั่วโมง ซึ่งหากท่านไม่เคยรู้จักความ "ทรมานกับการรอคอย" อย่างแท้จริง ขอแนะนำให้ท่านลองขึ้นไปนั่งรถไฟในชั้นที่ผมขอขนานนามว่า "ชั้นนรกแตก" แล้วท่านจะยิ่งรู้สึกว่ามันทรมานเพียงไร (อนึ่ง "ชั้นนรกแตก" คือชั้นที่สามารถนั่งได้อย่างเดียว ไม่สามารถนอนได้ เพราะราคาตั๋วมันเพียงแค่ 200 กว่าบาทเท่านั้น)

     และผมไม่ได้ใช้เวลา 16 ชั่วโมงบนรถไฟไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะผมได้ "หวนระลึกถึง" ครั้งที่ผมได้ขึ้นมา "เมืองหลวงแห่งสยามประเทศ" แห่งนี้เป็นครั้งแรกโดยได้โดยสาร "ชั้นนรกแตก" มานั่นแหล่ะครับ

     ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งกระโน้น ผมมากับเพื่อนๆ 5 คน ซึ่งมีใครบ้างนั้น ไม่ต้องไปสนใจให้มันเมื่อยสมองหรอกครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าใจในฐานะ "บ้านนอกเข้ากรุงฯ" และเป็นคำถามแรกที่ผมถามตัวเองนั่นคือ "กรุงเทพฯน่าอยู่ตรงไหนวะ?"

     ครับ เมืองที่เต็มไปด้วยรถที่แสนจะแออัด บวกกับผู้คนที่ไม่ค่อยจะผูกมิตรกันเท่าไหร่เหมือนต่างจังหวัด และบางทีคุณอาจจะเห็น "สไตล์การแต่งตัว" ที่อาจจะหลุดโลกจากเหล่าวัยรุ่นในสมายประเทศ พลาง "หัวเราะ" กับการแต่งตัวนั้น โดยหารู้ไม่ว่าตัวคุณเองนั่นแหล่ะที่เป็นคน "เชยระเบิด นาปามล์" เพราะเด็กเมืองหลวงเขาตามกระแสไปไหนถึงไหนแล้ว แต่เรายังมัวงมโข่งอยู่กับแค่ "กุงเกงยีนส์กับเสื้อยืดเก่าๆ" อยู่เลย

     แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังคงต้องทนอยู่ในเมืองหลวงต่อไป เพราะจำเป็นต้องทำหน้าที่ของลูกที่ดีนั่นคือ "การหลอกเงินพ่อแม่มา 500 บาทเพื่อเอาไปเรียน 250 บาท และเอาไปเที่ยวอีก 250 บาท" ฮ่าฮ่า

     ไอ้ตอนแรกก็เรียนได้ดีอยู่หรอกครับ มีแววว่าจะจบเร็วซะด้วย แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตการณ์ที่คนทุกคนอยากจะให้เกิดกับตัวเองนั่นคือ "ถูกความรักพุ่งเข้าใส่" ตัวเอง ซะอย่างนั้น

     เรียกง่ายๆก็คือ ผมมีแฟนนั่นแหล่ะครับ

     ถามว่าอยากได้แฟนมั๊ย แน่นอนผมตอบตัวเองว่าอยากได้ และแฟนที่ผมได้ก็ "สวย เซ้ง กระเด๊ะ" ซะด้วยน่ะสิครับ (แต่ไหงพอคบกันมา6ปีเธอกลับกลายเป็นแม่หมูไปซะได้ก็มิอาจทราบ ฮ่าฮ่า)

     แต่ว่า......ผมดันมามีแฟนในช่วงที่ "ผิดที่ผิดเวลา" ไปสักหน่อย นั่นแหล่ะ ปัญหามันเลยเกิดตามมาเป็นกระบุงโกย

     ครับ เพราะการที่ผมมี "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแฟน" เข้ามาในชีวิต ซึ่งทำให้ผมในตอนนั้นที่ทั้ง "ยังเด็กและอ่อนต่อโลกภายนอก" ไม่เป็นอันเรียนกันเลยทีเดียว ว่าแล้วผมก็ออกมา มหาลัย ที่ได้สังกัดในตอนนั้นเพื่อเพียงแค่จะมา "เที่ยว เล่น และ .... " กับแฟนผมไปวันๆ

     ผมไม่ได้เรียนทั้งๆที่ผมเป็นคนที่ไม่โง่ขนาดความยังเรียกพ่อ แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตแบบ "คนไร้อนาคต" และเสียเวลากับ แฟนคนนั้นไปเกือบตั้ง 7 ปี (น้องๆไม่ควรเอาเป็นแบบอย่้างนะครับ) จนสุดท้ายผมก็ต้องเลิกกับคนๆนั้น

     ถึงทุกวันนี้ผมก็ยังย้อนกลับมาถามตัวเองว่า "กรุ่งเทพฯ น่าอยู่ตรงไหนวะ?" เหมือนเคย เพราะความทรงจำที่แสนเลวร้ายครั้งเก่าก่อนยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่เสมอๆ

     แต่ถึงหยั่งงั้นก็เหอะ ผมก็ยังคงอยากจะขึ้นมาที่ กทม. ในฐานะ "นักท่องเที่ยว" และเพื่อมาหา คนหนึ่งคนที่ผมอยากจะเรียกเเธอว่า "แฟน" (และเช่นเกียวกัน ผมอยากเธอเรียกผมว่า "แฟน" เหมือนกัน)
   
     ..........

     ..................

     ผมลงจากรถไฟตอนประมาณ ตี5 ของวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ที่ "สถานีชุมทางบางซื่อ" และถามตัวเองอีกครั้งว่า "กรุงเทพน่าอยู่ตรงไหนวะ?"

     ด้วยสภาวะที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และ ความคิดที่เริ่มจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ผม (อยากจะ) ได้คำตอบว่า



 กรุงเพทฯ น่าอยู่เพราะคนๆนั้นที่ผมอยากจะเรียก และ อยากให้เธอเรียกผมว่า "แฟน" นั่นแหล่ะครับ


ขอให้สิ่งที่ผมหวังเป็นจริงด้วยนะครับ : )




วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมื่อเขา (ขอ) กลับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

   

     ผมเชื่อเหลือเกินว่า ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ล้วนแต่เคยมีความรักผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง "ไม่มากก็น้อย" หรือหากแต่บางคนอาจจะยังไม่เคยประสบณ์กับสิ่งที่เรียกว่า "ความรัก" พวกเขาเหล่านั้นก็คงยังหวังอยู่ในใจลึกๆ ว่าสักวันอาจจะมี "รัก" เข้ามาให้ได้ "สัมผัส" สักครั้ง

     แต่ผมก็ยังคงเชื่่ออยู่อีกเหลือเกินว่าผมที่เคยผ่านคำว่ารักมาแล้วแต่มีอันต้อง "เลิกลาจากกันไป" ต้องเคยประสบณ์พบเจอกับสิ่งที่วัยรุ่นในสมัยนี้นิยมเรียกกันว่า "แฟนเก่าขอรีเทิร์น" กันมาแล้ว

     ผมเองก็เหมือนกันครับ   เมื่อไม่นานมานี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอ รีเทิร์นรักครั้งเก่าๆของ 2 เรากลับมาเป็นแบบเดิม (เแหม....ถ้ายังรักกันอยู่แล้วตอนนั้นมรึงทิ้งกรูทำไมวะ?)

     และแน่นอนผมตอบ "ปฏิเสธ" ไปเพราะผมได้ใช้ส้นเท้า "ไตร่ตรอง" ดีแล้วว่า ยังไงๆ ก็คงจะไปไม่รอดอีกเหมือนเคย

     ว่าแล้ววันนี้ผมเลยมี "วิธีและข้อคิด" มาให้คิดกันสักเล็กๆน้อยๆ ก่อนที่คุณผู้อ่านทั้งหลายจะคิดคืนดีกับ "คนรักเก่า" ลองอ่านบทความนี้ก่อนนะครับ แล้วค่อยตัดสินใจ ต่อให้เรารักเขามากเพียงใด แต่การตัดสินใจแบบนี้อาจจะหมายถึงความสุข "ชั่วชีวิต" ของตัวคุณเองเลยนะครับ อ่านแล้วเอาเก็บไปคิดมันก็คงจะไม่เสียหายหรอกครับ

     ทันที่ที่เมื่อคนรักเก่ากลับมาแล้วขอ "คืนดี" กับคุณ คุณอย่าเพิ่งรีบตกลงปลงใจกับเขาไปง่าย หรืออย่าปล่อยให้ "เหตการณ์ที่ดีๆและความผูกพันธ์" บวกกับความ "เหงา" มาปล่อยให้คุณ เซย์ "Yes" ไปทันที คุณต้องคิดทบทวนดูให้ดีเสียก่อน ตั้งคำถามที่ผมกำลังจะบอกเหล่านี้ก่อนที่จะตัดสินใจนะครับ

          1 : เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือ "ควาย"
     เป็นธรรมดาครับ คนรักเลิกกันอาจจะเป็นเพราะหลายๆเหตผล แต่ไม่ว่าจะเหตผลใดก็แล้วแต่ ผมคิดว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นด้วยประการทั้งปวง ยิ่งถ้าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายบอกเลิก แต่อีกฝ่ายเป็นคนทำให้เราเจ็บเองก็กรุณา "คิดไตร่ตรอง" เพราะ "สันดาน" ของคนเรานั้น เปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆนะครับ หากคุณเคยเจ็บมาแล้ว เชื่อเหลือเกินว่ากว่า "95เปอร์เซน" คุณมีโอกาสที่จะเจ็บอีกครั้ง ถ้าหากตอบ "ตกลง" รีเทิร์นรักกับคนเก่าก่อน
     หากแต่คุณถามตัวเองกับคำถามนี้แล้ว และได้คำตอบว่า "เออ...กรูมันหนังเหนียวกว่าควาย" ก็จงตอบรับคำ "ขอรีเทิร์น" ได้เลยครับ แต่จง "สังวร" ตัวเองไว้เสมอๆนะครับว่า เหตการณ์เลวร้ายครั้งเก่าๆอาจจะเกิดได้ตลอดเวลา แถมบางทีคุณอาจจะต้องอยู่แบบ "หวาดระแวง" แบบ "คนโรคจิต" ไปตลอดเวลาอีกด้วย

          2 : ไม่มีมรึง กรูก็อยู่ได้
     ย้อนกลับไปคิดดูเอาเองนะครับ ตอนไม่มีเขา เราอยู่ได้มั๊ย? ยัง "กินดีขี้ออกได้" เหมือนเดิมหรือเปล่า? ถ้าคำตอบของคุณคือ "อยู่ได้" ก็ควรคงไว้ซึ่งความโสดต่อไปนะครับ เพราะ "อดีต" ที่เจ็บซ้ำมันอาจจะตามมาซ้ำรอยเดิมอีกก็ได้ ตอนเลิกกับเขาเราก็เสียใจมากพอแล้วนะ แต่ทำไมตอนนั้นเขากลับ "ทิ้ง" เราได้แบบหน้าตาเฉยเลย ลองถามตัวเองดูนะครับ
     ตอนคุณเกิดมา เขาคนนั้นไม่ได้ ออกมาจาก "ช่องคลอด" พร้อมกับคุณสักหน่อย เพราะงั้นเพียงแค่อยู่คนเดียวทำไมคุณถึงจะทำไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่ คุณไม่เคยและ "ไม่กล้า" คิดจะทำหรือเปล่า?

          3 : แค่เพื่อนก็เกินพอแล้วมั้ง?
     ถ้าเลิกกันไปครั้งหนึ่งแล้วนั่นหมายถึงคุณอาจจะไม่สามารถ "วางใจ" อีกฝั่งหนึ่งได้แบบเดิม เพราะงั้นหากมอบคำว่า "เพื่อน" ให้อีกฝ่ายไปก่อนก็คงไม่เสียหายสักเท่าไหร่ ค่อยๆที่จะเริ่มเรียนรู้กันอีกครั้งหนึ่งดีกว่า
     ดีไม่ดี วิธีนี้อาจจะทำให้อีกฝ่ายเกิดอาการ "คิดได้" ขึ้นมาและยอมปรับปรุงตัวเพื่อ "ตัวเราก็เป็นได้

          4 : ลงมือตรวจสอบและค้นประวัติ
     หาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะ Say Yes ว่าเขากลับมาด้วยเหตผลใด บางทีเขาอาจจะแค่เหงา มีเรื่องหรือเลิกกับแฟนคนปัจุบัน รึเปล่า หากคุณไม่ "หาข้อมูล" ให้ถี่ถ้วนบางทีถ้าคุณ Say yes ไปแล้ว คุณอาจจะถูก Yes ฟรีก็เป็นได้
     ถ้าคุณเองเป็นคนที่หน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แบบต้องเอาไปเปรียบเทียบกับ "ตะกวด" ข้างๆ "วัดร้าง" แล้วล่ะก็ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ไม่นานก็จะมีคนใหม่เข้ามาในชีวิต แถมคุณอาจจะรู้จัก "ความรัก" ดีกว่าเดิมก็เป็นได้

          5 : โสดไม่ได้เสียหาย
     เมื่อระยะเวลาที่คุณ "เลิก" กับเขา ออกมาอยู่ตัวคนเดียว และเริ่มมีความสุขกับงาน ครอบครัว เพื่อนๆ รวมถึง "คนใหม่" ที่เข้ามาจีบคุณแล้วล่ะก็ จงคิดทบทวนดูดีๆก่อนนะครับ เพราะบางทีการตอบตกลงกลับไปคบกับ "เขาคนนั้น" อาจจะทำให้คุณต้องทิ้ง "สิ่งดีๆ" ทั้งหลายที่คุณกำลังจะได้ประสบณ์พบเจอก็เป็นได้
     เราเองไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใน "อนาคต" แต่สิ่งที่เราพอจะเดาออกนั่นคือ คนๆหนึ่งคงจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่ออีกคนหนึ่งได้ลำบาก ยิ่งถ้าเขาเห็นเราเป็น "ของตาย" แล้วล่ะก็ เราคงจะแปรเปลี่ยนสภาพตัวเราเองให้กลายเป็น "ของแท้" ในสายตาเขาได้ยากมาก เพราะแบบนั้น ทิ้ง "อดีต" เพื่อรับเอา "อนาคต" อันสดใสดีกว่านะครับผมว่า




     ไม่ว่าจะเลิกกันด้วยเหตผลอันใดก็ตาม หากแต่แฟนเก่ามาขอรีเทิร์น ขอให้คุณลองตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้ดูนะครับ เพราะหากคุณตอบตกลงรีเทิร์นแล้วล่ะก็ คุณก็จะได้ความรักครั้งก่อนเก่ากลับมา



ความรักที่จะคอยทำให้คุณ "หวาดระแวง"  "เสียใจ" และ "ไม่มีความสุข" อยู่ตลอดเวลาจนสักวันหนึ่งคุณจะกลับมาถามตัวเองว่า "นี่กรูตอบตกลงกับมรึงเพื่อกลับมาเจ็บอีกครั้งหนึ่งเหรอเนี่ย!!!!???!!!!"







วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฉักเบื่อ ฉันรัก

     ฉันเบื่อที่เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่ค่อย
ถูกยอมรับในสงคมหมู่มาก

     ฉันเบื่อที่ต้องทำงานวันจันรท์เพราะมันถือ
เป็นวันแรกของการทำงาน กว่าจะได้พักผ่อน
ต้องรอไปอีก 4 วัน

     ฉันเบื่อที่ต้องไปทำงานในวันอังคารเพราะ
ทำแสดงให้เห็นว่าฉันเพิ่งเริ่มทำงานมาได้แค่
 1 วันเท่านั้น

     ฉันเบื่อที่จะต้องไปทำงานในวันพุธ เพราะ
หลังจากทำทำงานมา 2 วัน มันทำให้ฉันรู้สึก
เหนื่อยล้า อ่อนแรง และอยากจะพักผ่อนมาก

     ฉันเบื่อที่จะต้องไปทำงานในวันพฤหัสฯ
เพราะตอนนี้ฉันทำงานมา 4 วันจนหมดแรง
ไม่มีแรงจะทำงานต่อไปอีกแล้ว

     ฉันเบื่อที่จะต้องทำงานในวันศุกร์เพราะ
ตอนนี้ฉันเหมือนพาแค่ร่างกายมาทำงาน
โดยที่หาได้พาจิตใจและความกระปรี้กระเปร่า
มาด้วย

     ฉันเบื่อวันเสาร์เพราะแทนที่ฉันจะได้พัก
อย่างสบายๆแต่บางครั้งฉันอาจจะต้องมาทำ
งาน OT ให้กับทางบริษัทเพื่อเอาเวลาพักผ่อน
อันมาค่ามาแลกกับเงินเพียงไม่กี่บาท

     ฉันเบื่อวันอาทิตย์เพราะฉันต้องตื่นเช้ามา
ทำอาหารให้สามีและลูกๆของฉันทาน ทั้งๆที่
ใจจริงๆฉันอยากจะนอนหลับพักผ่อนให้สบาย
กายและสบายใจ

     ฉันเบื่อเจ้านายของฉันเพราะเขาช่างจุกจิกขี้บ่น
และไม่เคยเห็นความดีในตัวของฉันเลย

     ฉันเบื่อเพื่อนร่วมงานของฉันที่ชอบแอบซุบซิบ
นินทาชาวบ้านชาวช่องราวแบบไม่มีมารยาทและ
ยังชอบกินแรงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆอีก

     ฉันเบื่อที่จะต้องพูดและออกความเห็นในห้อง
ประชุมเพราะมันทำให้ฉันเหมือนตกเป็นเป้าสายตา
คอยถูกจ้องจับผิดของทุกคนในห้องประชุม

     ฉันเบื่อบ้านของฉันเพราะมันเล็กและคับแคบเกิน
ไปที่จะอยู่กันแบบครอบครัว จริงๆแล้วฉันอยากอยู่คน
เดียวด้วยซ้ำไป

     ฉันเบื่อสามีของฉันเพราะเขามีแต่ข้อเสียเต็ม
ไปหมดจนมันทำให้ฉันรู้สึกรำคาญที่ต้องต้องใช้
ชีวิตกับคนที่ไม่รู้จักโตสักที

     ฉันเบื่อที่จะต้องนอนหลับเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
แล้วต้องตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะออกไปทำงานต่อไป
เพราะฉันยังรู้สึกอ่อนเพลียหลังจากการนอนเพียง
ไม่กี่ชั่วโมง

     ฉันเบื่อลูกๆของฉันเพราะพวกเขาเเป็นเด็กที่
ซนและสร้างความรำคาญ น่าเบื่อหน่ายให้กับฉัน

     ฉันเบื่อการที่จะต้องทำอาหารให้กับครอบครัว
ของฉันเพราะการทำอาหารให้ใครสักคนมันเหนื่อย
เอามากๆแถมเขาแทบไม่เคยเอ่อบอกชมฝีมือการทำ
อาหารของฉันเลย

     ฉันเบื่อการมี Sex กับสามีก่อนนอนเพราะช่วงเว-
ลานั้นฉันอยากจะนอนหลับพักผ่อนมากกว่า

     ฉันเบื่อที่จะต้องตื่นในตอนเช้าเพื่อนไปทำงาน
เพราะอากาศยามเช้ามันทำให้ฉันอยากจะนอนพัก
ผ่อนต่อไปมากกว่าที่จะถ่างตาตื่นขึ้นมา


ฉันเบื่อชีวิตของฉันเหลือเกิน

ฉันเบื่อ

............................

แต่มาวันหนึ่งฉันได้เห็นคนกำลังเล่นโยนเหรียญหัวก้อยกันอยู่เมื่อชายคนที่ 1 โยน ชายคนที่ 2 ก็ทายว่า "ก้อย" และเมื่อชายคนที่ 1 โยนเหรียญต่อไป ชายคนที่ 2 ก็ทายว่าก้อยอยู่ทุกครั้งไป

สิ่งนั้นสร้างความ "สงสัย" ให้กับชายคนที่ 1 มาก เขาจึงเอ่ยถามชายคนที่ 2 ว่า ทำไมถึงทายว่าเหรียญจะออกแต่ก้อย ทำไมไม่ทายว่าเหรียญจะออกด้าน "หัว" มั้ง

นั่นทำให้ฉันเข้าใจ เข้าใจแล้วว่า เหรียญมี 2 ด้านเสมอ เช่นเดียวกันกับชีวิตของฉัน ที่มันมี 2 ด้านเหมือนกัน ทำไมฉันถึงเลือกที่จะมองเหรียญเพียงแค่ด้านเดียว

..............................

...............................

ตอนนี้ชีวิตฉันเปลี่ยนไปแล้ว



ฉันรักที่ฉันเป็นผู้หญิงเพราะนั่นทำให้ชั้นได้พิ-
สูจน์ตัวเองว่าฉันสามารถทำอะไรได้ไม่แพ้เหล่าผู้ชาย
และเมือฉันประสบณ์ความสำเร็จ คำชมเหล่านั้นที่ฉัน
ได้รับกลับมามันคือรางวัลตอบแทนของฉัน

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันจันทร์เพราะวันนี้
เป็นวันแรกของการทำงานหลังจากที่ฉันได้พักผ่อน
มาอย่างเต็มที่และพร้อมกับงานทุกอย่างแล้ว

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันอังคารเพราะนั่น
ทำให้ฉันรู้ว่าฉันทำงานสำเร็จลุล่วงด้วยดีมา 1 วันแล้ว

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันพุธเพราะตอนนี้
ฉันทำงานมาได้ถึงครึ่งทางแล้วอีกเพียงแค่ 2 วันฉันก็
จะได้พักผ่อนสักที

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันพฤหัสฯเพราะมัน
แสดงให้เห็นว่าฉันยังมีแรงทำงานอยู่และแสดงให้เห็น
ถึงความอดทนของฉันที่น้อยคนนักพึงจะมี

ฉันรักที่ต้องไปทำงานในวันศุกร์เพราะนี่เป็นวัน
สุกท้ายของการทำงานและฉันก็พร้อมที่จะใส่เต็มที่เพื่อ
สิ่งที่ดีที่สุดในวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้

ฉักรักวันเสาร์เพราะถ้าบริษัทให้ฉันไปทำงานนั่น
แสดงให้เห็นว่าทางบริษัทเห็นคุณค่าในตัวของฉันแถมฉัน
ยังได้เงินเพื่อมาจุนเจือครอบครัวอีกต่างหาก

ฉันรักวันอาทิตย์เพราะวันนี้ถือเป็นวันครอบครัว
ที่ทำให้ฉันได้ใกล้ชิดกับครอบครัวและคนที่ฉันรักมันแสดง
ให้เห็นถึงความรักใคร่และความอบอุ่นในครอบครัว

ฉันรักเจ้านายของฉันเพราะทุกครั้งเวลาเขาบ่น
นั่นหมายถึงเขากำลังบ่งบอกถึงข้อเสียของฉันและฉันจะเก็บ
มันไว้และเอากลับไปปรับปรุงให้ดีขึ้น

ฉันรักเพื่อนร่วมงานของฉันเพราะพวกเขาช่วย
สร้างบรรยากาศในที่ทำงานให้ดูคึกคักขึ้นมาซึ่งถือเป็นอีกรส-
ชาติชีวิตที่สนุกสนาน

ฉันรักที่จะออกความเห็นในที่ประชุมเพราะนั่น
หมายถึงความคิดเห็นของฉันกำลังเป็นที่จับตาของคนทุกคน
และยังแสดงถึงความความสามารถและรู้ของฉันให้คนทุกคน
ยอมรับ

ฉันรักบ้านของฉันเพราะมันเป็นบ้านที่มีขนาด
กำลังพอเหมาะกับครอบครัวของฉันและไม่กว้างจนเกินไปแถม
ยังช่วยสร้างความใกล้ชิดในครอบครัวมากกว่าบ้านหลังใหญ่ๆ

ฉันรักที่จะนอนหลับเพียงไม่กี่ชั่วโมงและตื่น
ขึ้นมาทำงานเพราะนั่นมันทำให้ฉันรู้ว่าฉันเตรียมพร้อมการทำ
งานและมีความกระตือลือล้นตลอดเวลา

ฉันรักลูกๆของฉันเพราะพวกเขาเปรียบเสมียน
ดั่งดวงใจของฉันฉันสัญญาว่าจะเลี้ยงลูกๆให้กลายเป็คนดีและ
เป็นเยาวชนที่ดีของประเทศ

ฉันรักที่จะต้องทำอาหารให้ครอบครัวของฉัน
เพราะนั่นทำให้ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนที่มีฝีมือในเรื่องของการทำอา-
หารถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยเอ่ยบอกชมแต่การที่พวกเขาทานทุก
วันโดยไม่เอ่ยปากบ่นเลยสักคำ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ฉันรักที่จะมี Sex กับสามีก่อนนอนเพราะนั่น
ทำให้ฉันรู้ว่าเขายังรักฉันอยู่และยังให้ความใส่ใจในทุกๆเรื่องของ
ตัวฉัน

ฉันรักที่จะตื่นนอนตอนเช้าเพื่อไปทำงานเพราะ
นั่นแสดงให้เห็นว่าฉัน "ยังมีลมหายใจ" อยู่



ขอให้บทความนี้เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิตของตัวเองอยู่นะครับ

อ้อ.....ลืมไปข้อหนึ่ง

........................

.........................

ฉันรักสามีของฉันเพราะเขาไม่เคยบ่นในข้อเสียของฉันที่มีอยู่เต็มไปหมด และทำตัวเป็นพ่อที่ดีของลูกๆและสามีที่ดีของฉันตลอดมา



วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"นักสู้พันธุ์หมูกรอบ!?!"

     เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 21:35 นาฬิกา ผมและ "ไอ้สิงดิว" (น้องชายคนที่ 2 ของตระกูลแสงแก้ว ณ ตรัง) กำลังนั่งรับประทานอาหารกันอย่างสบายอารมส์ อยู่ภายในบ้านอันแสนสงบสุข

     สักพักหนึ่งก็เกิดความไม่สงบสุขขึ้นเมื่อ "ไอ้ผอม" (น้องชายคนที่ 3 ของตระกูลแสงแก้ว ณ ตรัง) วิ่งหน้าตา "ตื่นตระหนก" ออกมาจากหลังบ้าน พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มจะปริ่นๆ ออกมาจากเบ้า เมื่อมันวิ่งมาถึงที่ที่ผมกับไอ้สิงดิว กำลังนั่งกินอาหารกันอยู่นั้นจู่ๆไอ้ผอมก็สำรอกเสียงออกมาจากลำคอว่า "หมูกรอบอยู่ไหน ใครเห็นหมูกรอบมั้ง!?!!!!!!!!"

     พลันสิ้นสุดเสียงที่สุดแสนน่ารำคาญของคุณน้องผอม น้ำตาของมันจากตอนแรกๆที่แค่ "ปริ่นๆ" อยู่ที่เบ้า ก็เริ่มที่จะ "ต่อมแตก" ออกมา ว่าแล้วมันก็ไม่ร้องเปล่า แต่มันกลับ สำรอกรอกเสียงสุดแสนน่ารำคาญออกมาอีกครั้งว่า "หมูกรอบ มีครายยยยยยยยยเห็นหมูกรอบม้างงงงงงงงง เอาแค่ 2 ชิ้นก็พอออออออออออออ!!!???!!!"

     ด้วย "ความฉงน สงสัย" บวกกับ "ความฮา" ของท่าทางของ ไอ้ผอม ที่กำลังร้องไห้เหมือนกับ "เด็กถูกแย่งของเล่น" จึงทำให้พวกผม ถามคุณน้องผอมไปว่า "ไอ้ผอม? ไอ้ผอมจะเอาหมูกรอบไปทำอะไร?"

     "เอาไปกินแหล่ะ ถามโง่ๆจริง" นั่นคือคำตอบของคุณน้องผอมผู้น่ารักน่ากระทืบ ที่ออกมาจากปากพร้อมกับน้ำตาที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ว่าแล้วน้องผอมก็สำรอกเสียงราวกับนักร้อง "ฮาร์ดคอร์" ออกมาอีกเป็นครั้งที่ 3 ว่า "หมูกรอบบบบบบบบบบบ หมูกรอบอยู่ที่ไหนเว้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!"

     พร้อมเปลี่ยนท่าทีจาก เด็กอายุ 5ขวบถูกแย่งขนมมาเป็น ท่าทีของคนบ้าอายุ 20 ปี ที่เกิดอาการ "ชักดิ้นชักงอ" ราวกับเสียญาติพี่น้องทางบ้านไปยังไงยังงั้น!?!

     ด้วยท่าทางของไอ้คุณน้องผอมที่เหมือนจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆราวกับ "คนถูกผีเข้า" จึงทำให้ ไอ้สิง ถามกลับไอ้ผอมไปว่า "ถ้าไม่ได้กินหมูกรอบ 2 ชิ้นวันนี้ ไอ้ผอมจะตายรึเปล่า?"
     คุณน้องผอมซึ่งตอนนี้กำลังถูก "ผีหมูกรอบ" เข้าสิง พยักหน้าที่เปื้อนน้ำตา ก่อนจะตอบว่า "เออ ถ้าไม่ได้กินวันนี้ ต้องตายแน่"

     คำตอบของคุณน้องผอม ผู้ซึ่ง "หลงไหล" ใน "เกมส์ออนไลน์" ทุกชนิด เรียกเสียงหัวเราะ กร๊ากใหญ่ออกจากปากของผม และ ไอ้สิง ได้เป็นอย่างดี เพราะทันทีที่สิ้นสุดเสียงของคำตอบของไอ้ผอม ผมกับไสงก็หัวเราะกันฟันแทบจะหลุดออกจากปาก ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า "มีเด็กกำลังจะตายเพราะไม่ได้ แด๊กส์ หมูกรอบเพียงแค่ 2 ชิ้น"

     จริงๆ ด้วยท่าทางที่น่า "สงสาร" ของน้องผอม พวกผมในตอนนั้นก็ไม่อยากจะหัวเราะมันสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ด้วย "เหตุผล" ของคุณน้องแกมันค่อนข้างจะ "ปัญญาอ่อนเกินเหตุ" ไปหน่อย เลยทำให้มันอดที่จะหัวเราะไม่ไหวน่ะครับ

     คือเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ผมก็เพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะครับ เด็กที่หากไม่ได้ กระดกหมูกรอบผ่านลำคอแล้วจะต้องชักแด่วๆ ตายจากโลกนี้ไปน่ะ

     แหม....ผมอยากจะไปแจ้ง อย. (อาหารและยา) จังเลยนะครับว่า ให้บรรจุ "หมูกรอบ" เป็นหนึ่งในสิ่งเสพติดที่สามารถ "คร่า" ชีวิตของผู้ที่เสพติดมันได้เช่นกัน เพราะดูจากสภาพของน้องผมในตอนนั้น มันไม่แตกต่างจาก "คนลงแดง" สักเท่าไหร่เลยครับ

     แต่ที่มันฮายิ่งกว่าคือ สิ่งที่มันกำลังลงแดงคือ "หมูกรอบ" น่ะสิครับ ฮาฮา

     เข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ......ว่าแล้วคุณน้องผอมก็ยังคงร้องไห้หน้าแดงก่ำ และ "ไล่ล่าตามหา" หมูกรอบ่อไปอย่างไม่ละ "ความพยายาม" ราวกับ หมูกรอบมันมีค่า มหาศาล จึงทำให้ผมและไอ้สิง ตั้งชื่อใหม่ให้กับไอ้ผอม....

     ชื่อใหม่ของมัน ไฉไล เท่ และ ฟังดูเข้าท่ากว่าชื่อ "ผอม" เยอะเลยครับ เพราะผมและไอ้สิงตั้งชื่อใหม่ให้มันว่า  "นักสู้พันธุ์หมูกรอบ"

     นักสู้พันธุ์หมูกรอบ ที่เกิดจากการไปกิน "หมูกรอบลงอาคม" จึงทำให้มีพลังวิเศษ ที่จะใช้ต่อกรกับ"เหล่าร้าย" ที่จะมาโกงกินราคาชื้อขาย "สุกร" ของชาวไร่ชาวสวน และเมื่อใดที่พลังหมด นักสู้พันธุ์หมูกรอบ หรือ "ไอ้บักผอม" ก็ต้องรีบหาหมูกรอบมายัดเข้าปากให้ทันการณ์ก่อนที่จะสายไป เพราะเมื่อมันสายเกินไป อาจะทำให้นักสู้พันธุ์หมูกรอบหมด "พลังและสิ้นใจ" ไปในท้ายที่สุด

     และที่สำคัญสิ่งที่ขาดให้ได้เลยในการ "ต่อกร" กับพวกเหล่าร้ายคือ "ท่าไม้ตายทีเด็ด" ของไอ้บักผอม นั่นคือท่า "หมัดเขวี้ยงหมูกรอบ" ที่เอาไว้พิชิตศตรูในทุก "สมรภูมิ" ฮ่าฮ่าฮ่า

     ระหว่างที่ผมกับไอ้สิงกำลัง "จินตนาการ" ถึงนักสู้พันธุ์หมูกรอบอยู่เพลินๆ จู่ๆ ไอ้กิว (หลานชายคนที่ 1 ของตระกลูแสงแก้ว ณ ตรัง) ก็เดินออกมาจากห้อง ปรี่ตรงเข้ามาหาไอ้ผอมแล้วเอ่ยถามว่า "ไหนอ่ะ หมูกรอบ 2ชิ้นของพี่"

     อ้าว ไอ้ชิปหาย หรือว่าไอ้น้องกิวก็เป็นอีกคนที่เป็น "นักสู้พันธุ์หมูกรอบ!!!!!????!!!!!!"

     ก่อนที่พวกผมจะมาสืบทราบภายหลังว่า ไอ้น้องกิวให้ไอ้ผอมหาหมูกรอบไปไอ้ 2 ชิ้น เพื่อแลกกับการเข้าไปเล่นในห้องของน้องกิวซึ่งถือเป็น "สวรรค์" ของเด็กเล็กๆ เพราะมันถือเป็น "แหล่งซ่องสุม" ที่มีทั้งของเล่น โทรทัศน์ เกมส์ และอีกต่างๆมากมาย ที่เด็กๆพึงจะอยากเล่น นั่นจึงทำให้ไอ้ผอม ตามหา "หมูกรอบ 2 ชิ้น" แบบ "พลิกแผ่นดิน" เพื่อแลกกับตั๋วเข้าห้องของน้องกิว!!!

     สุดท้ายไอ้ผอมหาหมูกรอบเจอมั๊ย? ได้เข้าห้องน้องกิวหรือเปล่า? หรือเป็นยังไงกันต่อ ผมกับไอ้สิงก็ไมอาจจะรับรู้ได้นะครับเพราะพวกผม "ช็อค" ในความ "ไร้สาระ" ของน้องๆ ตัวเองกันอยู่

     เฮ้อ~อ คิดไปคิดมามันก็ฮานะครับ ผู้อ่านอาจจะไม่ฮา แต่ผมกับไอ้สิงที่อยู่ในเหตการณ์ขอยอมรับตามตรงว่าตอนนั้น ฮามากๆ

     และจนถึงตอนนี้ผมและไอ้สิงก็ยังคงเรียกไอ้ผอมด้วยฉายาใหม่ที่ผมกับไอ้สิงตั้งให้มันเองนั่นคือ



"นักสู้พันธุ์หมูกรอบ"

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขนาดนั้นสำคัญมากไหม!?!

   
     เนื่องจากบทความของวันก่อนผมได้เขียนเกี่ยวกับ วันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งถือเป็นวัน "นมแห่งชาติ" แล้วมันรู้สึกตะหงิดๆและกระตุก "ต่อมแห่งการเรียนรู้" ของผมซะเหลือเกิน มาวันนี้ผมจึงอยากจะทำอะไรที่มันเหมือนกับเป็นการระบายออกทางอารมส์ในแบบที่เป็นผมสักกะหน่อย

     ว่าแล้ววันนี้ผมจะมาเขียนถึงเรื่อง "หน้าอก" ดีกว่าครับ

     หน้าอกที่จะพูดถึงในที่นี้หมายถึง "นม" นั่นแหล่ะครับ แต่อยากจะบอกไว้ก่อนนะครับว่า ถึงจะพูดถึงหน้าอกซึ่งมันต้องชัวร์อยู่แล้วว่าเป็นหน้าอกผู้หญิง แต่ผมไม่ได้ทะลึ่งอะไรเลยจริงๆนะครับ

     เอ่อ....อาจจะทะลึ่งมั้งเล็กน้อย แต่มันก็เป็นมุมมองความจริงของผู้ชายที่มีต่อคุณผู้หญิงทั้งหลายนะครับ เพราะอย่างนั้น หากผู้อ่านท่านใดที่เป็นผู้หญิงไม่ "กระเดะ" จนเกินไป ผมคิดว่าบทความนี้จะไม่มีอะไรที่เรียกว่า "บัดซบ" แน่นอนครับ ฮ่าฮ่า

     โดยเฉพาะวันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่อง "ขนาดของหน้าอกและความมั่นใจของผู็หญิง"

     แต่....ขอไว้ซึ่งความเป็นตัวผมซึ่งนั่นก็คือเรื่อง "ทะลึ่ง" สักเล็กน้อยก็แล้วกันนะครับ

     ถ้าหากจะหากถึง "อวัยวะ" ที่ดึงดูดผู้ชายมากที่สุดในเรือนร่างของผู้หญิง ผมเชื่อว่าร้อยล่ะแปดสิบ ต้องบอกว่าเป็น "นม" (ในบทความนี้ผมขออณุญาติกล่าวถึงหน้าอกว่าเป็น นม นะครับ) อย่างแน่นอน

     มันเป็นอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ผมรู้ได้โดยแบบไม่ต้องไปถามพวก "กูรูและกูรู้" เลยสักนิด เพราะโดยสันดานผมเอง ผมก็เป็นคนแบบนั้น (อ้่าว...เฮ้ย)

     นมถือเป็นตัวแทนที่จะบ่งบอก "ความเป็นตัวตน" และ "แบ่งแยก" ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงออกด้วยกันอย่างสิ้นเชิงที่สุด เพราะแบบนั้นจึงถือว่า "นม" ถือเป็นตัวแสดงความเป็นผู้หญิงมากกว่าอวัยวะอื่นๆ

     อันที่จริงมีอวัยวะที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้ดีมากกว่า นม ด้วยซ้ำ แต่ "เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็น" ของคนปรกติทั่วไปเขาไม่ค่อย "อณุญาติ" ให้อวัยวะส่วนนั้นออกมาสูดอากาศภายนอกสักเท่าไหร่น่ะสิครับ ส่วนอีก "หนึ่งเปอร์เซ็น" ที่เหลือก็มักจะโชว์เฉพาะในแผ่น CD เท่านั้นน่ะซี่ ....ฮ่าฮ่า

     และเนื่องจากเป็นสิ่งที่บ่งบอก "ความเป็นผู้หญิง" มากที่สุดเพราะแบบนั้นมันจึงทำให้นมเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้ชาย (แท้) มากที่สุดด้วยเช่นกันนะครับ

     ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นแท้ๆ แต่ไหงสาวๆกับ "อาย" และ "ไม่ค่อยพอใจ" สักเท่าไหร่เวลาที่ถูกผู้ชายจ้องมองนมด้วยก็ไม่ทราบ เข้าใจครับว่าบางทีการจ้องมองที่ หน้าอก มากเกินไปแบบเอาเป็นเอาตาย มันจะส่อให้สาวๆมองเราว่าเป็นพวกชอบออก "กามลังกาย" ซึ่งถือเป็น "นิสัยที่โครตจะน่าเกลียด" ก็เป็นได้ แต่โปรดเข้าใจอีกเหมือนกันนะครับว่า การที่เรา "จ้องนม" นั้นถือเป็น "สัณชาตญาณ" ของผู้ชายทุกตัวมาตั้งแต่กำเนิด เพราะงั้นหากเราแค่จ้อง โดยที่ไม่ได้ส่อถึงอะไรมากมายในทางที่ผิด สาวๆก็คงไม่ต้องเขินอายอะไรกันมากมายหรอกคร๊า~~~บ

     เพราะสำหรับหนุ่มๆบางคนแค่ได้ "เหลือบมอง" นมคุณเท่านั้นก็พอแล้วล่ะครับ เพราะแบบนี้รึเปล่าผมก็ไม่ทราบนะครับ แต่ (ผมเดาเอาเองนะว่า) คนที่ไม่ชอบ "โชว์ของ" แต่งตัวมิดชิดเกินเหตุด้วยเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ดูทะเล่อทะล่า อาจจะทำให้เป็นเหมือนผู้หญิงที่ดูเสีย "บุคลิค" และดูกลายเป็นคน "ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง" ไปเลย

     และผู้หญิงที่เสียบุคลิคและไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองก็มักจะทำไรได้ "ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน" สักเท่าไำหร่นะครับ เคยลองสังเกตกันมั้งมั๊ยครับ?

     ผมไม่ได้เขียนเพราะอยากให้ผู้หญิงที่มาอ่านบทความนี้ได้อ่านแล้ว อยากจะเดิน "โชว์ของ" กันทั่วตลาดนะครับ (จริงๆก็อยาก) แต่แค่อยากจะบอกว่า "มั่นใจในตัวเอง" เถอะครับ แม่ให้มาเท่าไหร่คุณก็ต้องมั่นใจกับนมของคุณเอง ถึงชายทั่ว "สยามประเทศ" นี้จะดูกันให้ตายหรือจ้องกันจนตาแฉะยังไงก็ไม่มีวัน "หยิบ" นมคุณออกมาได้หรอกครับ

     ทางที่ดีควรจะหันมาคิดว่า ทำยังไงเหล่าผู้หญิงถึงจะโชว์ของในแบบไม่โป๊เกินไปดีกว่านะครับ

     ...................

     ทีนี้พอผู้หญิงกล้าโชว์ขึ้นมาหน่อยมันก็ยังมีปัญหาอีกข้อตามมาอยู่ดีนั่นแหล่ะครับ

     นั่นคือ ผู้หญิงที่มี "หน้าอกเล็ก" มักจะไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง ถึงจะโชว์ยังไงก็เสียเปรียบคนที่มี "ลูกของ" ใหญ่กว่าอยู่ดี

     กรุณาอย่าคิดแบบนั้นนะครับ ถึงพวกเราเหล่าผุ้ชายจะชอบผู้หญิงที่มีขนาดของนมที่เทียบเคียง "ลูกมะพร้าว" แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกคุณเหล่าผู้หญิงที่มีหน้าอกขนาดแค่ "ลูกมะนาว" จะไม่เป็นที่สนใจของพวกเรานะครับ


     คือ..นมขนาดไหนก็เอามาเถอะครับ   พวกเราผู้ชาย ดูหมดแหล่ะ ขนาดไหนก็ไม่เกี่ยง!?!

     ผมเคยมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่ "แอบรัก" รุ่นพี่สมัยเรียนด้วยกัน และทั้งๆที่หน่าตาเพื่อนผมคนนี้ก็จัดอยู่ในประเภท "เอานะ" แต่หล่อนกลับไม่กล้าเข้าไปคุยกับชายที่เธอหลงปลื้มซะอย่างนั้น

     โดยที่หล่อนให้เหตุผลกับผมว่า "ก็นมกรูมันไม่ใหญ่นี่หว่า!!??!!"

     แหม....อยากจะหัวเราะให้กับเพื่อนผมคนนี้ในข้อหา "ดูถูกตัวเอง" เกินความจำเป็นจริงๆเลยนะครับ

     ผมไม่รู้นะครับว่ามีผู้หญิงคนที่ที่มีความคิดว่า นมเล็กทำให้ตัวเองขาดความั่นใจ อยู่ในโลกนี้อีกรึเปล่า แต่ขอบอกตามตรงนะครับว่า สำหรับผมแล้ว เรื่องแบบนั้นมันไม่ได้เกียวกันเลยครับ ยิ่งถ้าเป็นสำหรับความรักแล้ว สุดท้ายคนเราไม่ได้มองกันที่นมนะครับ แต่มองอะไรที่มันอยู่ลึกลงไปกว่า นม ซึ่งมันอยู่ใต้ "นมด้านซ้าย" ของคุณ นั่นก็คือหัวใจครับ

     จริงอยู่ที่ว่า "การสร้างความประทับใจครั้งแรกในการพบเจอ" ถือเป็นสิ่งสำคัญในหลายๆเรื่องของชีวิตคุณและหน้าอกก็สามารถช่วยให้คุณสร้างประทับใจดีๆนั่นได้ในหลายๆเรื่อง แต่การที่คุณมีหน้าอกหน้าใจเล็กเกินไปจนไม่น่าให้อภัย มันไม่ได้ทำให้คุณดูด้อยไปกว่าคนที่มี "หน้าอกใหญ่ๆ" เลยนะครับ

     หากคุณกล้าแสดงออกและมีความมั่นใจ ต่อให้คุณจะมี "นมขนาดไหน" มันก็ไม่ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะมาขัดขวางคุณไม่ให้คุณประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็ตาม

     ในทางกลับกัน บางครั้งด้วยขนาด "นมที่ใหญ่จนเกินไป" ก็ไม่ได้หมายความสาวๆจะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้่นตามขนาดนะครับ ถ้าหากมันใหญ่เกินจนเป็นที่สะดุดตาแล้วล่ะก็ มันก็อาจจะสร้างความไม่มั่นใจให้กับ "เจ้าของ" เหมือนกันครับ

     ก็เวลาคุณจะทำอะไร จะคุยกับใคร จะไปทางไหนก็แล้วแต่ การมีหน้าอกใหญ่เกินความจำเป็นจะทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนรอบข้างได้ง่ายๆ ผู้ชายจะมองผู้หญิงหน้าอกใหญ่ในเชิง "ลามก" ส่วนผู้หญิงด้วยกันเองก็จะมองในเชิง "ซุบซิบนินทา" และ "วิภาควิจารณ์" ประมาณว่า "แมร่ง...อีนี่ทำนมมาชัวร์"

     เพราะแบบนั้นผมคิด (เอาเองอีกแล้ว) ว่าการมีนมในระดับที่ "พอดี" และ "สมส่วน" กับร่างกายของตัวเองจึงจะเป็นการดีที่สุด

     ไม่ใช่มีรูปร่าง "สูงใหญ่กำยำ" แต่มีนมราวกับ "ลูกละมุด" หรือว่า ตัวเล็กบอบบางแต่ดันมีนมเทียบเคียง "ลูกกมะพร้าว" ดั่งคำที่กล่าวไว้ว่า "หน้าตาเด็กประถมฯ แต่มีนมขนาดเด็กมหาลัยฯ"  แบบนั้นก็ไม่ไหวครับ

     แบบที่เป็น "ธรรมชาติ" แม่ให้มาที่สุดนั่นแหล่ะครับดีแล้ว เพราะถ้าหากวันหนึ่งสาวๆเกิดอยากจะมีขนาด "นม" ที่ใหญ่ขึ้นกว่าปรกติ พวกคุณก็สามารถใส่ "เสื้อผ้า" หรือ "ชุดชั้นใน" ที่มันช่วย "อัฟขนาดนม" เพื่อให้มันดูใหญ่ขึ้นมาได้เช่นกันครับ

     ส่วนสาวๆพวกที่อัฟขนาด "หลอกตา" ชาวบ้านชาวช่องเขาเป็นประจำทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว ทีนี้...สมมุติว่าพอถึงวันหนึ่งเกิดแฟนมาขอ "มีอะไร" กับเจ้าหล่อน ขอบอกไว้ ณ ตรงนี้เลยนะครับว่า อย่าไป "กังวล" หรือ "กลัว" หรอกนะครับ ว่าเวลาคุณ "ปลด" อาภรออกหมดแล้วและฝ่ายชายเห็น "ขนาดที่แท้จริง" ที่ปราศจากเครื่องทรงที่ช่วยอัฟขนาดต่างๆให้ นม ขยายขึ้น แล้วผู้ชายจะด่าหรือล้อเลียนคุณน่ะ

     เพราะถ้าถึงเวลานั้นจริงๆแล้วล่ะก็ เชื่อผมเห๊~~~อะ ....ร้อยทั้งร้อย ผู้ชายมันไม่จ้อง "นม" คุณหรอกคร๊า~~~บ ฮ่าฮ่า

    ฉะนั้นและฉะนี้โดยส่วนตัวผมเอง ผมจึงคิดว่า การที่มีหน้าอกขนาดเล็กเกินไปมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกครับ   ปัญหามันอยู่ที่ว่า เหล่าผู้หญิงทั้งหลายแหล่จะทำยังไงเพื่อให้ตัวเองไม่ "โป๊" จนเกินไปและไม่ "มิดชิด" จนดูตกยุคตกสมัยเหมือน "ยายเพิ๊ง"

    อย่างที่บอกตอนต้นบทความนั่นแหล่ะครับ.........หน้าอกถือเป็น "ตัวแทน" และบ่งบอกถึงความ"เป็นตัวตนของผู้หญิง" เพราะแบบนั้น การที่ผู้หญิงปกปิดมากเกินไป บางทีมันอาจจะหมายถึงการปกปิดความเป็นตัวตนของคุณด้วยเช่นกัน

     ในขณะที่หาก "เปิดเผยจนหมดเปลือก" ก็อาจจะทำให้คุณกลายเป็นผู้หญิงที่ดูไม่น่า "ค้นหา" สักเท่าไหร่

     หากคุณโชว์แล้วผู้ชายมันจะจ้องก็ปล่อยมันไปเถอะครับ  ถือซะว่า "ทำบุญ" เป็น "อาหารตา" ให้ผู้ชายไปก็แล้วกัน

     และเช่นเดียวกัน หากผู้หญิงท่านไหนที่มีแฟนที่ชอบจ้องอวัยวะที่เรียกกกันง่ายๆว่า "นม" ของผู้หญิงคนอื่น อย่างเพิ่งหึงและโมโหนะครับ

   

อย่างน้อยก็ขอให้คิดว่า "ดีกว่าปล่อยให้มันไปจ้องบั้นท้ายของหนุ่มๆคนอื่นก็แล้วกัน!?!"







วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาดื่มนมกันเถอะ


     
     นม นม นม แล้วก็ "นม" คงไม่มีผู้ชาย (หรือแม้กระทั่งผู้หญิง) คนไหนปฏิเสธว่า "ไม่ชอบดื่มนม" เพราะในความเป็นสันดานผู้ชายอย่างเราๆ มันฟ้องมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้วว่า "เราชอบดื่มนม"

     อย่าเถียงครับ เพราะตอนคุณเกิดคุณก็ได้ "นมแม่" ซึ่งถือเป็นอาหารที่ดีและมีโประโยชน์ที่สุดในโลก และด้วยเหตุผลนี้รึเปล่าผมก็มิอาจจะทราบได้ที่ทำให้พวกเราเหล่าผู้ชายทั้งหลายแหล่ "เสพติด" การดื่มนม?

     โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น "นมสดๆ ร้อนๆ" แล้วล่ะก็ กรุณาอย่าเถียงครับว่าคุณชอบที่จะ ดูด เอ้ย.....ดื่มมันเป็นอย่างยิ่ง ฮ่าฮ่า

     วันนี้ที่ผมมาเขียนถึงเรื่องนมๆมันก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ แต่เป็นเพราะว่าจะมีใครหน้าไหนสักกี่คนที่รู้ว่า วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมามันเป็นวัน "ดื่มนมโลก" (เห็นมั๊ยครับว่าการดื่มนมสำคัญขนาดมีการตั้งเป็นวันดื่มนมโลกกันเลยทีเดียวเชียว)

      ทุกๆวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปีจะเป็นวันที่ "องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ" หรือ "The Food and Agriculture Organization" (FAO) กำหนดให้เป็น วันดื่มนมโลก (World Milk Day) นั่นเป็นเพราะเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลก ไม่ว่าจะทั้งลูกเด็กเล็กแดง ผู้ชายผู้หญิง เห็น "ความสำคัญ" และ "คุณประโยชน์" ของนมสดๆ และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชานชนบนดาวดวงนี้รู้จักบริโภคนมพร้อมกันยังจะช่วยกันรณรงค์ให้ทุกๆคนรู้จัก ประโยชน์ที่แท้จริงของนมแต่ละชนิดด้วย


     จะว่าไปแล้วทุกวันนี้พวกเราหลายๆท่านก็ได้ทำการ บริโภคนมในหลายๆรูปแบบทั้ง "นมสด"  "นมที่ผ่านการพาสเจอร์ไรท์" หรือแม้กระทั่ง "นมจากเต้า" แต่มักจะมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่านอกจาก นมสดๆจากเต้า แล้วนมชนิดไหนมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่และเหมาะสมกับร่างกายและ "ทุนทรัพย์" ในกระเป๋าของเราที่สุด


    จากการสืบค้นข้อมูลของตัวผมเองทำให้รู้ได้ว่า นม ที่มีคุณประโยชน์ เหมาะสมกับคนทั่วไปและหาบริโภคได้ง่ายที่สุดมาจาก "โค" ซึ่งจากการวิจัยในห้องทดลองแถวๆ หมู่บ้านลำภูรา ตำบลหนองปรื่อ นั้น ได้ค้นพบว่านมโคสดแท้จะมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของธรรมชาติ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จากไขมัน โปรตีน และวิตามิน นอกจากนั้นร่างกายของคนเราสามารถย่อยสลาย "นมโค" แท้ๆได้ดีกว่านมผสม อีกทั้งนมโคแท้ที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรท์ ยังคงให้คุณค่าทางโภชนาการในด้าน วิตาบี 12 สูงกว่า ทั้งบางทีผู็ผลิตอาจจะผสม "วิตามินสังเคราะห์" ที่ไม่ได้มาจากวิตามินทางธรรมชาติ เพื่อที่จะช่วยเพื่อ วิตามินภายในนม 


     นมมีส่วนช่วยในเรื่อง "ความดันโลหิต" ช่วยในเรื่อง "กระดูกและฟัน" เพื่อเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และอีกทั้งยังมีประโยชน์อีกหลายๆอย่างมากมาย แถมทั้งนี้นมยังสามารถสร้าง "ความสดชื่น" ให้กับร่างกายได้ประดุจดั่ง "น้ำดื่ม"


     แหม....เรียกได้ว่าน้ำนมเองไม่ได้แตกแตกจากยารักษาโรคสักเท่าไหร่เลยนะครับ


     ด้วยเหตุผลที่กล่าวอ้างมาเหล่านี้จึงเรียกได้ว่า เราทุกคนที่ยืนอยู่บนพื้นพิภพนี้ควรจะบรรจุนมเพื่อบริโภคเข้าไปเป็นหนึ่งใน "อาหารหลัก" เพราะการดื่มนมหนึ่งถึงสองแก้วต่อวันสามารถคืนความสดชื่นให้กัับร่างกาย ซ้ำยังมีคุณประโยชน์หลายๆอย่างที่คนเราต้องการ


     อีกทั้งเรายังสามารถใช้นมให้เกิดประโยชน์โดยที่ไม่ต้องบริโภคก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ดยธรรมชาตินมมีคุณสมบัติในการเป็น "มอยสเจอไรเซอร์" จึงสามารถลดอาการคันของแมลงกัดได้ การผสม "นมกับน้ำเกลือ" และทาบริเวรที่มีอาการคันที่เกิดจากการถูกแมลงกัด จะสามารถช่วยบรรเทาอาการ และรอยด่างช้ำที่ได้จากการถูกกัดลงได้มาก


     หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง นมสามารถช่วยลบ "คราบหมึก" ได้เช่นกันเพราะโดยปรกติพื้นฐานของนมที่มีความข้นและครีมผสมอยู่จึงทำให้ช่วยลดคราบหมึดได้ดีกว่าน้ำ การที่เอาผ้าชุบ "น้ำมะนาวที่ผสมกับนมสด" แล้วไปเช็ดที่รอยคราบหมึก หลังจากทิ้งไว้ 1 วัน คราบหมึกจะจางหาย หรือลดลงไปได้


     จากการที่ตัวผมได้อธิบายมาทั้งหมดนั้น น่าจะคิดได้ว่า "นม" ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณประโยชน์ในหลายๆด้านเลยทีเดียว เพราะแบบนั้นการดื่มนมทุกวันจึงถือเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง


     เพราะอย่างน้อยๆที่สุด (สำหรับตัวผม)






นมนั้นไม่ได้ "ขม" และมีราคา "แพง" เหมือนเหล้าเลย..... เลิกเหล้าเถอะครับ ดื่มนมดีกว่า

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิสัย (สันดาน) ที่ทำให้ผู้ชายเบื่อคุณ!?!

    
     ในที่สุดก็ถึงเวลาสักทีนะครับ หลังจากที่วันก่อน ผมได้ทำการ "เผา" ผู้ชายทั้งหลายแหล่จนมอดไหม้กันไปแล้ว วันนี้ก็มีถึงคิวของเหล่า "สาวสวย" มั้งนะครับที่จะถูกเผากัน

     ก่อนที่จะเริ่มทำการ "เผา" ผู้หญิงกันแบบสดๆ ผมขอเปลี่ยนแปลงอะไรสักนิดหน่อยก่อนดีกว่านะครับ นั่นก็คือจากคราวที่แล้วที่ผมใช้ "อัตราความน่าถูกกระทืบ" มาคราวนี้ผมจะขอเปลี่ยนเป็น "อัตราความน่าถูกตบจูบ" แทนดีกว่านะครับ

     ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอและ "คุณแม่ขอร้อง" เพราะแบบนั้นหากยังใช้ "อัตราความน่าถูกกระทืบ" อยู่ล่ะก็มันอาจจะดูรุนแรงและไม่เหมาะสม และประเดี๋ยวผมจะโดนผูหญิงตามแช่งเอาเปล่าๆ มันคงจะไม่ใช่เรื่อง ฮ่าฮ่า

     เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มทำการ เผา กันเลยดีกว่าครับ

     1: ต่อมความกังวลทำงานมากจนผิดปรกติ
          เป็นประจำเลยครับ ถ้าเวลาผู้หญิงคาดหวังอะไรไว้มากๆ ราจะเห็นอาการกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ชอบเก็บมาคิดแล้วกลัวว่าจะไม่ได้ตามที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้ และมักจะชอบเหลือเกินนะครับที่จะคิดแต่ใน "แง่ร้าย" ว่าจะเกิดอะไรห่าเหวขึ้นมา โดยไม่ค่อยจะคิดใน "แง่ดี" กันสักเท่าไหร่หรอกครับ
          ขอเตือนผู้หญิงทั้งหลายแหล่ไว้เลยนะครับ ถึงผู้ชายอย่างพวกเราจะไม่เคยแสดงออก แต่จงรับรู้ไว้นะครับว่า พวกเราเริ่มจะ "รำคาญ" อยู่ในใจแบบ "เล็กๆ" แล้วล่ะครับ เพราะงั้น ไม่ต้องคิดวิตกกังวลอะไรมากมายหรอกครับ เพลาๆหน่อยก็ได้
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 60 ริมฝีปากตบ

   
      2: ขี้บ่นราวกับเป็นเจ้าแม่เพลงแร๊พ!?!
           เอ่อ....เราจีบผู้หญิงเพื่อนอยากให้เป็น "แฟน" นะครับ แต่ไหงพอผ่านขั้นตอนกระบวนการ "ตรวจภายใน" ในแล้ว ทำไมเจ้าหล่อนถึงกลายร่างมาเป็น "คุณแม่" ซะได้ก็มิอาจทราบ เพราะเจ๊แกเล่นบ่นแบบ "นันสต๊อบ" บ่นได้บ่นดีไม่มีหยุด บ่นจุกบ่นจิกราวกับว่าการบ่นมันเป็น "สันดาน" ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างนั้นล่ะครับ
          ทางที่ดีนะครับ คุณผู้หญิงควรจะชวนคุณผู้ชายมานั่งคุยกันแบบ "จับอก" เลยดีกว่านะครับ (จับอกหมายถึงการผสมผสานกันระหว่าง จับเข่าคุยกัน และเปิดอกคุยกันน่ะครับ มันจึงเป็นการคุยแบบเปิดเผยที่พึงใช้กับคนรักเป็นอย่างยิ่ง) ไม่ใช่เอาแต่บ่นไปบ่นมาอยู่ได้ แบบนั้นบอกตรงๆครับว่า "มันน่ารำคาญว่ะ คุณแม่!?!"
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 70 ริมฝีปากตบ


     3: อารมส์มักจะอยู่เหนือเหตุผล
          อันนี้จริงไม่จริงผมเองก็ไม่รู้ สาวๆหลายคนอาจจะเถียงจนเอ็นคอแทบจะขาดว่า ไม่ แต่เคยสังเกตมั๊ยครับ เวลาสาวๆจะชื้อของน่ะ ลองให้ได้ "ชอบ" ของสิ่งนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ "มันไร้สาระ" หรือ "ไร้เหตุผล" ยังไงเจ้าหล่อนก็จะต้องเอามาเชยชมให้จงได้ หรืออย่างน้อยถ้าหันหลังไม่ชื้อมัน เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยจะยังคงอยู่ซึ่งความรู้สึก "เสียดาย" และ "อยากชื้อ" อยู่ดีน่ะแหล่ะครับ
          เหมือนกันล่ะครับผู้หญิงจะ "งอน" จะ "โมโห" บางทีเจ้าหล่อนอาจจะไม่ต้องใช้คำว่า "คำว่าเหตุผล" เลยครับ เพราะ อาจจะเกิดจากแค่ "อารมส์" โดยเฉพาะ ส่วนเหตุผลอื่นน่ะเหรอครับ เจ้าหล่อนโยนทิ้งลงถังขยะเรียบร้อยแล้วล่ะคร๊า~~~บ
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 60 ริมฝีปากตบ


     4: หัวใจดวงเล็กเกินไป!?!
          หรือเรียกกันทั่วไปในหมู่วัยรุ่นในสยามประเทศว่า "น้อยใจและใจน้อย" นั่นเองครับ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นทันทีที่สาวเจ้ามีอารมส์ที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่าในสายตาของคนสำคัญ ส่วนจะแสดงออกมารึเปล่าอันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเองล่ะครับ (แต่ส่วนมากมักจะแสดงออกมานะครับ)
          หากมีอาการน้อยใจแล้วฝ่ายชายเข้าใจ อันนี้ก็อาจจะไม่เป็นไรหน่อย แต่ถ้าหากผู้ชายคนไหน มีเข้าใจหรืออาจจะตามไม่ทันกับอารมส์อันแสนแปรปรวนของฝ่ายหญิง ระวังนะครับว่ามันอาจจะสร้างความแตกแยก ทั้งๆที่บางทีมันอาจจะเป็นเพียงแค่ "สิ่งเล็กๆที่เรียกว่างอน" เฉยๆก็ได้  ผู้ชายอย่างเราๆไม่ "ละเอียดอ่อน" และ "คิดเล็กคิดน้อย" เหมือนผู้หญิง  แหมอยากจะบอกเหลือเกินนะครับว่าการที่เราไม่ "ง้อ" นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักคุณ แต่มันอาจจะเป็นเพราะบางที "กรูคิดไม่ทันมรึงนะโว้ยยยยยย!!!"

          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 75 ริมฝีปากตบ


     5: หูเป็นญาติพี่น้องกับ "สำลี" ???
          หูเบานั่นเองล่ะครับ (หรือว่าคุณจะเถียงว่าสำลีมันหนัก) อาการนี้บอกตรงๆเป็นการส่วนตัวเลยนะครับว่าเป็นอาการที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับสายตาของผมนะครับ เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่า หลายๆคนคงเคยมีแบบไอ้ประเภทที่ว่า อยุ่ดีๆก็มาโมโห โวยวาย และงอนใส่ เพียงเพราะแค่ไปถูกน้ำลายของคนอื่นมาติดข้างหูเข้า โดยที่ไม่ยอมรับฟังความจริงจากปากของเรา เหล่าผู้ชายเลยสักคำ อ้าว...ตกลงนี่กรูนอนอยู่กับมรึงมาทุกวันนี่ มันไม่ทำให้มรึงเชื่อใจในตัวกรูเลยเหรอวะเนี่ย!?!
          ฟังกันหน่อยนะครับ "คุณแม่" ฟังกันหน่อย เพราะบางทีคนข้างนอกอาจจะมีหลายคนที่อาจจะ "อจฉาตาร้อน" และชอบ "กลั่นแกล้ง" คนที่รักกันให้ต้องแตกแยกดั่งคำที่ว่า "สร้างความร้าวฉานคืองานของกรู" เพราะงั้นกรุณาใช้หัวสมองไตร่ตรองสักหน่อยนะครับว่าไอ้สิ่งที่ได้ยินมาน่ะ มันจริงเท็จสักแค่ไหน ไม่ใช่ได้ยินอะไรมาก็เอะอะโวยวาย ราวกับผู้หญิงมี "ประจำเดือน" อย่างเดียว อย่างนี้ไม่ไหวนะครับ......หัดฟังผัวตัวเองมั้งนะครับ
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 90 ริมฝีปากตบ (โครตมากเลยข้อนี้ ฮ่าฮ่า)


     6: ขี้อิจฉาตาฟาเรนไฮต์
          ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เหล่าผู้หญิงจับกลุ่มรวมตัวกันดูสิครับ แล้วถ้าบังเอิ๊~ญ บังเอิญ แฟนของคุณดันไปเห็นเพื่อนของหล่อนชื้อกระเป๋าใบเก๋ไก๋สไลเดอร์มากกว่าของเจ้าหล่อน เชื่อได้แบบล้าน%เลยนะครับว่า ถึงแม้ปากจะพูด "ว๊า~ย สวยนะยะหล่อน" แต่ในใจต้องคิด "มรึง สักวันกรุจะต้องมีของที่แพงกว่ามรึงให้ได้ ฮึ่ม!!" พูดง่ายๆเลยครับว่า หากในกลุ่มเพื่อนๆด้วยกัน ดันมีใครคนใดคนหนึ่ง (เสือก) เด่นเฉิดฉายเกินหน้าคนตาคนอื่นในฝูง ต้องมีการเกิดอาการที่คนแถวๆนี้เรียกว่า "อิจฉาตาร้อน" อย่างแน่นอนครับ
         ถ้าอิจฉาแล้วมันก็ต้องระบายกันหน่อย แล้วใครล่ะครับที่จะเป็นคนถูกระบาย ก็ผู้ชายอย่างเราๆนี่ล่ะครับ.........เปล๊า พวกผมไม่ได้เบื่อที่จะฟังนะครับ (ถึงแม้บางครั้งจะเบื่อที่จะฟังจริงๆก็ตามเถอะ) แต่ไอ้ที่ส่อถึงความอิจฉาของพวกคุณต่างหากที่ทำให้พวกผมเบื่อสุดๆ บางทีมันอาจจะถึงกับ "เอือมระอา" กันเลยทีเดียวเชียวล่ะครับ
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 85 ริมฝีปากตบ


     7: ขี้ใจอ่อน
          นิสัยนี้น่าเป็นห่วง เพราะมันแสดงให้เห็นถึงอาการ "ถูกชักจูงได้ง่าย" และมักจะทำให้เกิดอาการ "ลังเลที่จะตัดสินใจอะไรลงไป" แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ยังมีข้อดีอยู่เหมือนกันนะครับ ไอ้นิสัยขี้ใจอ่อนเนี่ย
          นั่นคือสังเกตได้เลยครับว่า คนประเภทนี้เวลาโกรธใครมักจะหายโกรธได้เร็วกว่าไอ้พวก "ใจแข็ง" แต่ถึงยังไงพวกเราผู้ชายก็อยากจะให้คนรักของพวกเรา "เพลาๆ" นิสัยนี้หน่อยก็ดีนะครับ หรือจะ "สงวนสิทธิ์" ไว้ใจอ่อนกับแฟน อย่างเดียวแบบนั้นมัน Work กว่านะครับ ฮ่าฮ่า
          อัตราความน่าถูกตบจูบ : 20 ริมฝีปากตบ


     ..............

     .....................

     ............................


     และเหล่านี้คือ "นิสัย" หรือ "สันดาน" ที่ผมคิดว่าเหล่าผู้หญิงทั้งหลายควรจะปรับปรุงให้มันดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนแปลงนะครับแค่ "ปรับปรุง" ก็พอครับ

     ผมเชื่อเหลือเกินว่า ผู้ชายเกินครึ่งน่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมด เพราะงั้นถ้าคุณผู้หญิงรู้แล้วก็ควรจะปรับปรุงนะครับ เพราะหาก นิสัยเหล่านี้ที่ถูกกล่าวไปของคุณผู้หญิงดีขึ้นมา คุณจะดูน่ารักอีกเป็นกองเลย



ถึงแม้ทุกวันนี้ คุณจะดูน่ารักอยู่แล้วก็ตาม ฮิฮิ






วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิสัย (สันดาน) ที่ทำให้ผู้หญิงเบื่อคุณ!?!

  
    เนื่องด้วยตัวของผมเองเกิดมาเป็นผู้ชายที่ผ่านอาการ "ช้ำรัก" มาแบบหอมปากหอมคอพอสมควรเหมือนกัน และทุกครั้งที่ได้ทำการ บอกลาชีวิตคู่ ผมมักจะมานั่งคิดอยู่เสมอว่า "กรูผิดตรงไหนวะ?" พลางค้นหาคำตอบของคำถาม พลางคิดวิธีดัดสันดานตัวเอง เพื่อที่จะให้รักของตัวเองในครั้งต่อไปไม่ต้องเจอเรื่อง ซ้ำๆซากๆ อย่างการเลิกราแบบเดิมๆอีก

     เพราะฉะนั้นไหนๆก็ไำหนๆ วันนี้ผมจะมาว่ากันถึง "นิสัย" หรือ "สันดานเหี้ยๆ" ที่มันมักจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกผู้หญิงทั้งหลายเบื่อในตัวผู้ชายก่อนมันอาจจะกลายมาเป็นสาเหตให้เลิกราได้ในภายภาคหน้าและเหมือนเช่นเคยครับ ผมจะแถม "อัตราความน่าถูกกระทืบ" โดยสอบถามจากสาวสวยจำนวน 100 คนมาเป็นของแถมเหมือนเช่นเคยครับ

     คือพูดง่ายว่า ถ้าคุณมีสันดานแบบนี้ ผู้หญิงจากร้อยคนจะมีจำนวนกี่คนที่อยากจะกระทืบหน้าคุณให้แหลกคาตีน เพราะงั้นอันไหนอัตราความน่าถูกกระทืบมากๆหน่อยคุณผู้ชายก็ระวังตัวไว้ด้วยล่ะครับ ขืนไปทำอย่างที่จะกล่าวถึงบ่อยๆเดี๋ยวพอเวลาเกิดเรื่องแล้วหน้าจะแหกเหมือน "หมาถูกกระทืบ" โดยไม่รู็ตัว

     แต่ขอออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับว่าถึงแม้ผู้อ่านหลายๆท่านอาจจะมองผมว่าค่อนข้างเป็น"คนไม่ค่อยจะเต็ม" และ "ไร้แก่นสาร" แต่กับบทความนี้ "สาเหตุ" ทั้งหมดที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ มีแหล่งที่อ้างอิงถึง และ "เชื่อถือได้" อย่างแน่นอน

     มาเริ่มกันเลยครับ

     1: ไร้สมรรถภาพทางอารมส์อย่างรุนแรง
          เห็นประจำแหล่ะครับกับอาการ "น้อยใจ"  "โกรธ"  "หึง"  และ "ขี้งอน" ที่จะออกมาจากฝ่ายหญิง แต่พวกผู้ชายทุกวันนี้โดยส่วนมากอาจจะใช้ "ส้นตีน" คิดแทน "หัวสมอง" และ "หัวใจ" ก็ได้นะครับ ว่าแล้วก็คงนึกว่า เดี๋ยวแมร่ง...ฝ่ายหญิงเขาก็หายโกรธเอง ว่าแล้วก็เลย "ไม่ง้อ"  "ไม่ขอโทษ" ซะอย่างนั้น
          เคยมีคนบอกไว้ว่า ผู้ชายชอบยึดมั่นว่าตัวเองนั้นเป็นเพศที่ใช้ "เหตุผล" มากกว่า "อารมณ์" จึงเห็นว่า การแสดงอารมณ์ของผู้หญิง เป็นเรื่อง "ไร้สาระ" แหม.....คุณครับ ขนาดควายมันยังมองออกเลยนะครับว่าเป็นเพราะ "รัก" หรอก เลยทำให้ผู้หญิงทำตัว "ขี้น้อยใจ"  "โกรธ"  "โมโห" และ "ขี้งอน" น่ะ ระวังตัวไว้นะครับ วันไหนที่ผู้หญิง ไม่งอน ไม่หึง ไม่โกรธให้คุณแล้ว ให้คิดและเตรียมใจไว้ได้เลยครับว่า "กรู..อกหักแน่งานนี้!!!"
            อัตราความน่าถูกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายชนิดนี้ : 75  ส้นตีนถีบ



     2: สะกดคำว่า "เสมอต้นเสมอปลาย" ไม่ถูก
          แหมตอนรักกันแรกๆ ขนาด "ขี้" เรามันยังบอกว่า "หอม" สมัยจีบกันใหม่ๆ เอาใจใส่สารพัด เข้าถึงทุกระยะกระชับพื้นที่ อะไรนิดหน่อยก็ "อย่าลืมทานข้าวนะจ๊ะตะเอง"  "อย่านอนดึกนักล่ะตะเอง เค้าเป็นห่วง" ฝ่ายหญิงจะไปไหน ฝ่ายชายจะตามคอยพันแข้งพันขาตลอดแบบชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่เว้นช่องว่างและโอกาสให้ได้ "ปล่อยตด" กันบ้างเลย ช่วงนี้ถือเป็นช่วง "โปรโมชั่น" ของฝ่ายหญิงโดยแท้จริง แต่หลังจากที่ คุณตกลงปลงใจกับ พ่อรูปหล่อตัวดีแล้วล่ะก็ ขอให้พึงสังวรไว้เลยนะครับว่า จะไม่ได้รับ "การปฏิบัติ" หรือ "คอยเอาอกเอาใจ" เยี่ยงนี้อีกแล้ว มีแต่จะคอย "เอา" คุณอย่างเดียวเลยน่ะสิครับ
           แหม....แรกๆล่ะคำว่า เสมอต้นเสมอปลายถือเป็นจุดขายของผู้ชายเชียวนะครับ แต่พอหลังๆมา "สันดาน" เริ่มออก แม้แต่ให้สะกดทีล่ะตัว พี่แกยังสะกดไม่ถูกเล้ย พวกมรึงตกภาษาไทยมาหรืออย่างไรมิทราบ!?!
           อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายชนิดนี้ : 90 ส้นตีนถีบ (โครตมากเลยโว้ยยยยยยยยย!!!)




     3: เลี้ยงงูกับหมาเป็นงานอดิเรก
            ลำพังถ้างูและหมาในที่นี้เป็นสัตว์เลี้ยงที่บ้านมันก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่นี่พี่แกดันเล่นเลี้ยง "งู" บนหัว และเลี้ยง "หมา" ในปากซะแบบนั้นล่ะครับ ว่ากันถึง "งู" ก่อนเข้าใจคร๊าบ...เข้าใจว่าผู้ชายน่ะมันก็ต้องเจ้าชู้กันมั้งเป็น "ธรรมสันดาน" (สันดานตามธรรมชาตินั่นเอง) งั้นพวกคุณก็จงเข้าใจเหล่าผู้หญิงเช่นกันนะครับว่าพวกเขา ก็มี "อาการหึง" เป็น ธรรมสันดาน เหมือนกัน แต่ไหง พวกคุณเล่นเจ้าชู้แหลก แลกเบอร์ไปทั่ว คั่วหญิงไปเรื่อย พอเราหึงนิดหึงหน่อย ก็ดันมาว่า "ไร้สาระ" ซะแบบนั้น ครั้น "เจ้าชู้เล็กๆ" ยังพอทนได้ แต่ถ้าเจ้าชู้ขนาดที่ว่าจีบ แมร่ง...หมดตั้งแต่ ครูใหญ่ จนถึง ภารโรง อันนี้มันก็ไม่ไหวครับ เพราะขนาดนี้ผมคิด (เอาเอง) ว่า "ขนาดหมายังไม่อยากเอามรึงเล้ย"
            มาว่ากันต่อที่ "หมา" ครับ ปากหมามั้งเล็กๆน้อยๆ บางทีอาจจะเป็น "เรื่องโจ๊ก" ที่สร้างเสียงหัวเราะในหมู่คณะได้มั้งนะครับ แต่ถ้าชนิดที่ว่าเล่นเลี้ยงหมาไว้ในปากเป็น "ฟาร์ม" และแทบทุกคำพูดจะต้องปล่อยหมาออกมาเพ่นพ่านขี้ เหยี่ยวรดคนอื่นเขาไปทั่ว แบบนั้นมันก็ไม่ไหวนะครับ อย่าว่าแต่แฟนคุณเลย ผมเป็นเพื่อนคุณผมยังอยากกระทืบคุณเลยด้วยซ้ำ!!!
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายประเภท "งู" : 60 ส้นตีนถีบ
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายประเภท "หมา" : 100 ส้นตีนกระทืบบ!!!!!?!!!!!




     4: การวิเคราะห์เหตผลไม่ค่อยจะครบบาท
            ไม่รู้ไปคิดมาได้ไงนะครับว่า "ผู้ชายชอบใช้เหตุผล ส่วนผู้หญิงชอบใช้อารมส์" จริงอยู่ครับว่ามันอาจจะใช่ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ถ้าผู้หญิงชื้อเสื้อผ้า ก็บอกว่า "ไร้สาระ" ชอบชื้อตุ๊กตา ก็หาว่า "ปัญญ่าอ่อน" แหม...ของอย่างนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ชายเพียงฝ่ายเดียวนะครับ มันต้องมองด้วย มองให้ลึกลงไปกว่านั้น เพราะทีพวกผู้ชาย "ติดเกมส์" หรือ "ติดพนันบอล" พวกเราฝ่ายหญิงยังไม่เคยบ่นเลยสักดอก แต่พอกับเราล่ะก็ คุณเล่นว่าเอาๆแบบไม่ให้เราได้พูดอะไรเลย เนี่ยนะที่บอกว่ามรึงใช้เหตุผล ฮ่าฮ่าฮ่า อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย
            งานอดิเรกของใครก็ของมันนะครับ อย่าไปก้าวก่าย ว่าผู้หญิงเขานักเลย อย่างน้อยก่อนจะว่าเขาโปรดชำเลืองตัวเองก่อนนะครับ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวอาจจะโดน "ของเข้าตัวเอาก็ได้"
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายชนิดนี้ : 80 ส้นตีนถีบ




     5: "ใจร้อน" และ "ชอบวางอำนาจ"
            ชอบออกคำสั่ง และคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูด "ถูกที่สุด" และ "ถูกเสมอ" ลำเอียงเข้าข้างตัวเองตลอดเวลา พอเราทำท่าจะไม่เชื่อฟัง ก็โมโหโทโสทำหน้าราวกับว่า "ญาติสนิททางบ้านของท่านชาย" กำลังจะมีอันเป็นไปซะอย่างนั้น แนะนำอะไรนิดอะไรหน่อยปากก็บอกว่า "เออ....แล้วจะลองไปคิดดู" แต่เชื่อเถอะครับ 92 จากร้อยคนน่ะ มันไม่คิดกันหรอก (ส่วนอีก 8 คนที่มันคิด ก็ดันเป็นเกย์ไปซะ 5 แล้ว เหลือผู้ชายดีๆ แบบ จริงๆไว้ 3 คน ก็ดันเสือกมีเมียไปหมดแล้วน่ะซี่)
            ขอให้เหล่าท่านชายทั้งหลายกลับไปคิดซะใหม่เลยนะครับ มีตัวอย่างให้เห็นหลายครั้งแล้วว่า "คนที่ประสบณ์ความในชีวิตโดยส่วนใหญ่เป็นเพราะมีภรรยาที่ดีคอยให้คำแนะนำอยู่เบื้องหลัง" ครับ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะงั้นต่อจากนี้หัดดเชื่อฟังคำแนะนำของ เราบ้างจะเป็นการดีอย่างยิ่ง ครับ เพราะผู้หญิง ของเข้าดีจริงๆ เอิ๊กเอิ๊ก
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายชนิดนี้ : 60 ส้นตีนถีบ




     6: "เพื่อน...กรูรักมรึงว่ะ!?!"
            เราผู้หญิงทั้งหลายต่างทราบกันดีีว่า ผู้ชายโดยส่วนใหญ่ (ตามสันดาน) เป็นคนที่ติดเพื่อนมากขนาดไหน แล้วจะไม่ให้เราเบื่อได้ไง ก็ลองดูสิ บางที โทรฯนัดเราเรียบร้อยแล้ว แต่พอเพื่อนกริ๊งไปหาบอกว่า "คืนนี้มีเมา" แมร่งเลื่อนนัดเราซะดื้อๆเลย เวลาเราชวนไปไหนล่ะก็บ่ายเบี่ยง ปฏิเสธตลอด แต่ลองให้เพื่อนเลิฟชวนดูแล้วล่ะก็ ต่อให้ตัวเป็นเกรียวแค่ไหนก็เจียดเวลาว่างไปจนได้ อย่างนี้จะไม่ให้เราเอือมระอา ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรดีแล้ว
            ถ้ายังเป็นแบบนี้ งั้นวันหน้าวันหลัง ก็ให้เพื่อนๆสุดที่รักของคุณเป็นคนมาคอยตามปรณิบัติ พัดวี รับใช้ให้แล้วกัน ก็ในเมื่อรักกันมากก็ต้องทำให้กันได้สิ จริงมั๊ย?
            ไม่ใช่ว่าไม่ให้เข้าสังคมนะ โดยเฉพาะกับเพื่อนๆเรายิ่งยินดีเลย (เพราะบางทีเราก็สบายใจเหมือนกันที่ผู้ชายไม่อยู่ ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง) แต่บางครั้งก็กรุณาเห็นอกเห็นใจเราบ้าง ไม่ใช่อะไรก็ เพื่อน พื่อน แล้วก็เพื่อนหมด ถามคำเดียว? ที่คุณ "นอนสืบพันธุ์" อยู่ด้วยทุกวันนี้น่ะ มันเพื่อนของคุณหรือว่าพวกเราผู้หญิงที่เป็น "แฟน" ของคุณกันแน่........
            อัตราความน่าถูกกระทืบจากผู้หญิงที่มีต่อชายชนิดนี้ : 80 ส้นตีนกระทืบ


               ....................
              .............................
               ....................................


             


     เหล่านี้ล่ะครับ คือเหตผลซึ่งส่วนใหญ่ทำให้ผู้หญิงเบื่อในตัวผู้ชาย ที่จริงแล้วยังคงมีอีกมา แต่วันนี้เราขอ เผา คุณเพียงเท่านี้ก่อนดีกว่า เผามากไปเดี๋ยวมันจะไม่ดี เพราะกรูก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน (ถึงในบทความข้างต้นกรูจะทำตัวเนียนเป็นผู้หญิงก็ตาม) ฮ่าฮ่า


     เรียกง่ายๆว่า วันนี้เอาแค่เบาะๆ พอให้เห็นภาพก่อนนะครับ แค่ผู้ชายหลายคนปรับปรุงนิสัยทั้ง 6 ข้อนี้ได้ ผมเชื่อเหลือเกินนะครับว่า คุณจะเป็น "ยอดชาย" ที่ไม่ว่าสาวที่ไหนก็ต่างต้องหลงรัก (แต่หน้าตาคุณต้องไม่ผิดมนุษย์มนาถึงขั้นอุบาทด์บัดซบด้วยนะครับ)


     ท่านชายทั้งหลายไม่ต้องเสียใจนะครับ วันนี้ทีของเราก่อน เดี๋ยวันหลังผมจะจัดของผู้หญิงมาให้ท่านได้อ่านกันมั้ง




เผาผู้หญิงวันหลังดีกว่าครับ เพราะอย่างที่โบราณเขาบอกไว้ว่า "หัวเราะทีหลัง ย่อมดังกว่า" เอิ๊กเอิ๊ก!!!!