วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

ผู้หญิงและสตรีมีครรภ์ไม่ควรอ่านเกินวันล่ะ 2 รอบ หากอ่านแล้วเกิดอาการชักดิ้นชักงอให้รีบปรึกษาจิตแพทย์โดยทันที!!!!!!!

   
     ยอมรับตามตรงแบบไม่มีข้อโต้แย้งเลยนะครับว่าผมเองก็ไม่ใช่ "คนหล่อและรวย" อะไรมากมาย แต่ถึงกระนั้นเอง ผมเองก็ไม่ได้ "ขี้เหร่และจน" ถึงขนาดที่ถูกเรียกว่า "รันทดรัก" ขนาดที่ จีบใครสักคนก็ยังไม่ติดหรอกนะครับ

     แต่ปัญหาใหญ่ที่ตัวผมเองต้องเจอเกือบทุกครั้งเวลาที่ผมจะจีบใคร นั่นก็คือ คนที่ผมจีบนั้น "มีเจ้าของหัวใจ" แล้วนั่นเองล่ะครับ

     ตัวผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกนะครับว่า ทั้งๆที่เขาก็มีเจ้าของอยู่แล้ว ทำไม๊ ทำไม ผู้หญิงถึงกล้าให้ "เบอร์โทรฯ" กับผมมาอีก(กรุณานาอย่าอ้างว่าที่ให้เบอร์ฯมาเพราะเป็นคนมีสัมพันธ์ดีเพราะทุกคนผมออกตัวก่อนอยู่แล้วว่า กรูจะจีบมรึง)

     ไม่รู้ว่า เขาไม่กลัว เจ้าของจับได้มั้งเลยหรือไงก็มิทราบ......

     เอ่อ....ขอออกตัวก่อนนะครับ หลายคนอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วอาจจะคิดว่าผมเป็น "คนเลว" ที่ชอบแย่ง "เมีย" ชาวบ้านชาวช่องเขาน่ะ จริงๆแล้วไม่ใช่เลยนะครับ เพราะผมเริ่มจีบผู้หญิงหลายๆคนใน "สถานะ" ที่เขายังโสดอยู่ทั้งนั้นล่ะครับ

     แต่ไหงพอ ไปๆมาๆ เริ่มจีบ และ เริ่มมีความรักกันได้สักพักหนึ่ง ผู้หญิงกลับมี "ของชำร่วย" ที่คนส่วนมากเรียกกันว่า "ผัว" มาแสดงให้ผมดูก็มิทราบ

     สุดท้ายผมเลยต้องกลายเป็น "ชู้" แบบที่ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป ซะอย่างนั้นล่ะครับ

     จะเลิกกันก็ยาก เพราะ บางที กับผู้หญิงบางคนเราก็รักเขาเข้าไปแล้ว (แถมบางทียัง say Yes กันแล้วด้วย)

     ไม่ทราบว่าชาติที่แล้วผมคงจะเอา "ต้นบอระเพด" ไปทำบุญรึเปล่า มันจึงทำให้ชาตินี้ชีวิตผมถึงได้  "ดึงดูด" ต้นงิ้วซะเหลือเกิน

     เอาเถอะครับ...ถึงยังไงก็แล้วแต่ เพราะผมได้เจอกับเหตณ์การอย่างนี้บ่อยเหลือเกินจนทำให้ผม "คิดได้" ว่า ผู้หญิงที่ผมเจอทำไมถึงได้ทำตัว "11รด" ซะขนาดนี้

     ว่าแล้ววันนี้ผมอยากจะกล่าวถึงผู้หญิงประเภทนี้อย่าง "เอ็นจอยรูปาก" บนหน้ากระดาษไฟฟ้าหน้านี้สักหน่อย เพื่อเป็นการระบายถึงความอัดอั้นตันใจที่ผู้หญิง "บางคน" ได้กระทำการ "ไร้ซึ่งยางอาย" แบบนี้

     กล่าวง่ายๆคือ "เอามาประจาญ" นั่นแหล่ะครับ  ฮ่าฮ่าฮ่า


     (แต่ผมขอออกตัวก่อนจะถูกตบก่อนเลยนะครับว่า ผู้หญิงบนเมืองมนุษย์ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนนะครับ คนดีๆก็ยังมีอีกมากมาย แต่ในบทความนี้ผมจะกล่าวถึงเฉพาะผู้หญิงที่มีสันดาน "รับไม่ได้" เท่านั้นครับ ใครไม่มีนิสัยอย่างนี้ "กรุณา" อย่าร้อนตัวนะครับ)

   






     ไอ้ตัวของเกล้ากระผมเองก็ไม่อาจจะทราบได้นะครับว่า ผู้หญิงประเภทนี้เขาคิดอะไรของเขาอยู่ แต่ที่กระผมเคยประสบณ์มา (บอกตรงๆ มีประมาณ 3 คนที่ผมจีบแล้วมารู้ทีหลังว่า มันเสือกมีดุ้นอยู่แล้ว) เขามักจะอยู่ในสภาพ "เมียน้อย" มาก่อนแล้ว (ส่วนมากนะครับ ไม่ใช่ทั้งหมด)

     ว่าง่ายๆคือ ไอ้ที่ว่าเป็น "ผัว" ของเจ้าหล่อนน่ะ เขาก็มีเมียของเขาอยู่แล้ว และเจ้าพวกหล่อนก็จะอยู่ในฐานะ "ตัวสำรอง" หรือว่า "ที่สอง" อีกทีหนึ่ง

     นั่นจึงเป็นเหตผลที่ว่า ผู้หญิงเหล่านี้จึงมักจะอยู่ตาม "คอนโด" หรือ "หอพัก" คนเดียว (โดยที่คนเช่าให้ก็คือคนที่เจ้าหล่อนเรียกได้อย่างเต็มปากว่า 'แฟน' ทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นแฟนชาวบ้านเขา) เพื่อรอเวลาที่ผู้ชายคนนั้นจะมาหาแล้วก็เล่น "ชะ วี๋ วี่ วี" กัน และแน่นอนที่สุด การจะมี "ดีกรี" เป็นเมียน้อยเขา หน้าตาของหล่อนๆต้อง อยู่ในระดับ "สวยเกรด B" ขึ้นไป (คือถ้าต่ำกว่านั้นลงมา มันจะจัดอยู่ในระดับหน้าตาตัวเงินตัวทองหมด ฮ่าฮ่าฮ่า)  เพราะงั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่จะมี "ผู้ชาย" (ที่บางคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่) มาจีบ

     อ้าว..ลองคิดดูใครจะไม่สนใจล่ะครับ ก็ลองนึกตัวอย่างง่ายๆเช่นภาพของ ผู้หญิงหน้่าตา "จิ้มลิ้ม" นุ่งกุงเกงขาสั้นกำลังตาก กางเกง (ใน) อยู่บนระเบียงหลังหอพัก!!!!!!

    อู้ว์~~~~~ ซี๊ด ขนาดผมเดินผ่านมาเห็นผมยังอยากจะ "สอย" ลงมาเป็นเจ้าของเลยครับ

     ว่าแล้วอาชีพของผม (ในสมัยก่ิอน) ต้อง "เจอะเจอ" กับ กับผู้หญิงประเภทนี้บ่อยๆ (เพราะทำงานอยู่ข้างหอพักหญิง) มันก็เลยทำให้ผมอดใจไม่ไหวเลยต้องจีบ "เหล่านางฟ้าพญามัจจุราชเหล่านี้"

     จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้อยากเป็น "ชู้" กับใครเชาหรอกนะครับ สาบานให้แมวกัดคอผมตายเลย แต่ทุกครั้งที่ผมจีบคนเหล่านี้ เขาจะบอกว่า "ยังโสดค่ะคุณพี่"

     ไหงสุดท้ายจีบไปจีบมา "โปรโมชั่น" เสริมของสาวๆเหล่านี้กลับกลายเป็น "ผู้ชาย" ที่แบกความรับผิดชอบที่ชื่อว่า "ผัวของเจ้าพวกหล่อน" โผล่มาตอนจากไหนไม่ทราบ!!!!!!

     แหม.....จริงๆแล้วผมอยากจะ ด่าพวกหล่อนเหลือเกินนะครับว่า "ส้นตีีน!!!!!" แต่เกรงว่ามันอาจจะเป็นการกระทำที่อุกอาจเกินจะทนรับได้ของผู้หญิงหลายๆคน เพราะแบบนั้นผมจึงขอมอบให้เพียงแค่ีคำว่า "พ่อมมึง" ก็พอครับ

     ก็แหมจะไม่ให้ผมพูดและโมโหได้อย่างไรกันเล่าครับก็ในเมื่อ คุณเธอเล่นไม่ยอมบอกตามตรงว่่า "กรุณาอย่าวางระเบิดได้ม๊ายยยยยยยย ไอสาดดดดดดด!!!" เอ้ย!!!....ไม่ใช่ คนละเรื่องกันแล้ว คุณเธอไม่ยอมบอกก่อนว่า "นู๋มีแฟนอยู่แร้วนะเคอะ"

     เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไซ้ไอ้ตัวของผมเองที่เข้าไปจีบ (ผู้หญิงบางคนเสือกเล่นด้วย) ก็เท่ากับเอา "คอขึ้นเขียง" และ "เอาขาพาดต้นงิ้ว" ไปข้างหนึ่งแล้วนะครับ
         
     สมมุตินะครับ แค่สมุติ

     ถ้าเกิดผมถูก "ผัว" ของผู้หญิง (ที่กล่าวมา) ยิงดับเอาใครรจะรับผิดชอบ!!!!!!!!!!!!!!

     ไม่มีหรอกครับ ตัวกรูเองก็ต้องรับผิดชอบเองสิครับจริงมั๊ย? (อ้าว)

     ก็ในเมื่อผมเป็นฝ่ายผิดเองที่เริ่มที่จะไป "ประชับสัมพันธ์" กับพวกหล่อนก่อน เพราะงั้นหาก "ฟ้า" จะลงโทษ มันก็สมควรที่จะเป็นผมเนี่ยแหล่ะครับ




โทษฐานที่มรึงเสือกไม่สืบดูให้ดีก่อนว่าเขามี "ผัว" แล้วรึยัง???!!!!!



วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

"เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์" (The Fucking bullet)

   

     ไม่เมื่อนานมานี้ผมโดนคนหนึ่งคน "วิพากย์วิจารณ์" อย่างรุนแรงในข้อหาที่ผม "พูดมากเกินเหตุ!!!!!!!"

     ผมถามว่า "แล้วทำไมรึ?"

     เขาบอกว่า เวลามีคนมาพูดถึงเรื่องผมที่ผมเคยไปพูดอะไรไว้แล้วเขาไม่อยากจะฟัง เขาเบื่อ และเพราะผมพูดมากเกินไป มันทำให้เขา "เกลียด" ผม (เขาไม่ได้พูดแต่ผมสังเกตุจากท่าทางได้)

     ต้องเล่าย้อนเหตุการณ์ไปว่า ในวันหนึ่งซึ่งผมไม่สบาย (อ่อนๆ) และดันไปชวนเพื่อนสาวระดับ "สวยลากไส้" ไปกระซวก ไอติมนาม Swensen's

     แล้วพวกเพื่อนร่วมงาน "ที่น่ารักน่ากระทืบ" ก็คาบข่าวนี้ไปซุบซิบนินทา ราวกับตัวเองเป็นนักข่าว "ปาปารัซซี่" ประมาณว่า ทั้งๆที่ไม่สบายทำไมถึงยังจะไปเที่ยวกินไอติมได้วะ? (โดยที่พวกเขาคงจะแกล้งโง่ไม่รู้จริงๆว่าผมพูดเล่น)

     และแน่นอนครับ บุลคลข้างบนดันมาได้ยินแล้วก็เลยมาต่อว่าผมประมาณว่า "ทำไมถึงต้องพูดอย่างนั้นแล้วคนอื่นเขาจะมองเรายังไง ไม่สบาย ทำไมถึงไปพูดอย่างนั้น ทำไมไม่นอนอยู่กับบ้านเขามองเราไม่ดีรู้มั้งมั๊ย" พลางชักดิ้นชักงอ ราวกับจะตายเสียให้ได้

     เอ่อ......บอกแบบ "ไม่เกรงใจนรก" เลยนะคับว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะตอบกลับความ "หวังดี" ของคนๆนั้นไปว่า "เสือกแมร่งมรึงเหรอคะ!!!!!!??????"

     เอ่อ....คืออยากจะบอกจังเลยนะครับว่า ผมจะพูดอะไรแล้วใครจะเอาไปพูดต่อหรือมองผมยังไง ทำไมผมต้องแคร์ เพราะในเมื่อมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงและที่สำคัญเพื่อนร่วมงานและคนที่หวังดีกับผมมันมาเดือดร้อนห่าเหวอะไรด้วยในเมื่อมัีนเป็นเรื่อง "ส่วนตัว" ของผม และ "ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น" ขึ้นไปอีกคือ ผมก็ยังไปทำงานโดย "ไม่มีขาดไม่มีอู้ ไม่มีกินแรง" เพื่อนร่วมงานคนอื่น (เหมือนไอ้พวกที่มันสบายดี ไม่พูดมาก แต่กลับยืนห่าไม่กระดุกกระดิกไม่ทำงานห่าอะไรราวกับซากหมาที่ตายไปแล้วยังไงยังงั้น)

     ตรงจุดนี้จึงทำให้ผมได้ทราบและเข้าใจว่า ตอนนี้ผู้คนโดยส่วนใหญ่ในที่ทำงานของผมได้กลายเป็น "นักแสดงนำและนักแสดงสมทบ" ของหนังชื่อดังเรื่อง "เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์" (The Fucking bullet"

     คำถามมีอยู่ว่า หากผมไม่สบายขนาดนั้นแล้วยังมีหน้าไปกินไอศครีมจริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นเพราะเมื่อในวันต่อมาผมก็ยังมาทำงานทั้งๆที่ไม่สบาย และยังทำงานขยันกว่าพวกที่สบายดีด้วยซ้ำ?

     คำตอบก็คือ มันจะต้องมีหนังภาคต่อเรื่อง "เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์ ภาค 2 ตอน ตะลุยดง Swensen's" อย่างแน่นอนครับ (ถึงแม้ว่าผมจะมาทำงานไหวก็เหอะ)

     ไอ้ฉิบหาย!!!! พ่อมึงตาย!!!! หัวควย!!!! แอนด์ เดอะ มาเธอร์ ฟักเกอร์!!!!!!!! คือคำที่่ผมอยากจะพูดให้ไอ้พวกชอบ "เสือก" ซะเหลือเกินนะครับ เพราะแทนที่จะเสือกเรื่องชาวบ้าน พวกมึง "สมควร" จะมาช่วยกูยกข้าวยกของยกจานชามไปเก็บจะดีกว่า

     แต่ถึงยังไงก็ตามด้วย "วุฒิภาวะ" ของผมที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คำด่าข้างต้นเลยไม่ได้บินออกมาจากรูปากของผม แต่สิ่งที่ออกมากลับเป็นคำว่า "ขอบคุณครับ เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะระวังคำพูดให้มากกว่านี้"

     ที่จริงผมอาจจะพูดมากกว่านั้น แต่ถ้าใ้หสรุปรวบย่อผมก็คงจะพูดประมาณนั้นล่ะครับ

     ก็ในเมื่อเขากล้าที่จะมา "เสือก" เรื่อง "ส่วนตัวของกู" ผมก็ต้องยอมรับการ "สาระแน" ที่หวังดี และนำไป "ปรับปรุง" เพื่อให้ตัวผมจะได้ไม่ต้องโดนเขา "เสือก" อีกในภายภาคหน้า

     อนึ่ง คาดว่าหากผมไม่ปรับปรุงตัวเองแล้วนั้น สักวันอาจจะมาภาคต่อของ "เสือกหมาการฬกระสุนโลกัลย์ ภาค เกิดมาเพื่อเสือกเขาไปซะทุกเรื่อง" อย่างแน่นอนครับ

     และอีกอย่างหนึ่งคือผมไม่อยากให้เพื่อนร่วมงาน "เกลียด" ผมไปมากกว่านี้ เพราะหากเขาเกลียดผมกันหมดทั้งแผนกโทษฐาน "ไม่ค่อยจะเสือกเรื่องเพื่อน" มันก็จะทำให้ผม "คับใจ" และอาจจะต้องออกจากที่ทำงาน (อันอุดมไปด้วยเื่เพื่อนร่วมงานที่น่ารักน่ากระทืบ)

     หากไม่มีงานทำผมเองอาจจะกลายเป็นนักแสดงนำเดี่ยวๆในภาพยนตร์เรื่อง "พรุ่งนี้กูจะเอาอะไรแดกส์ my fucking tomorrow" ก็เป็นได้ เพราะแบบนั้นผมจึงเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถึงแม้ว่ามันอาจจะผิดกับ "สิ่งที่ผมเป็นไปบ้าง" แต่นั่นอาจจะหมายถึงการที่ผมรู้จักโตเป็น "ผู้ใหญ่"

     หากมีวันใดวันหนึ่งผมจะต้องย๊ายที่ทำงาน ผมอาจจะได้ "นิสัย" ที่ผมได้ปรับปรุงตัวเองมาแล้วจากที่ทำงานเก่า และเข้าไปเป็น "บุคลากรที่มีคุณภาพ" ของที่ทำงานใหม่ (เพราะอย่างน้อยผมก็จะไม่เสือก และไม่พูดมากเหมือนเดิมอีกแล้ว)

     แต่ไอ้พวกที่อยู่ในสถานที่ที่ "การเสือก" เป็นเรื่องปกติน่ะสิครับ



ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีกี่ชาติ สันดานคุณก็ยังคงชอบ "เสือก" เรื่องชาวบ้านเหมือนเดิมนั่นแหล่ะครับ



วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

"ยิ้ม" ให้กับมัน




     ผมขอยอมรับอย่าง "หมดมุกไม่มีหมกเม็ด" เลยว่า ผมค่อนค่อนข้างจะเป็นคนมองโลกใน "แง่บวก" 

     ไม่รู้เพราะเหตผลแบบนี้รึเปล่าถึงทำให้ผมชอบที่จะ "ยิ้ม" อยู่เสมอๆ โดยไม่เลือก "เวลาและสถานที่"

     ผมมักจะ "ยิ้ม" ทุกครั้งที่เจอกับ "ปัญหา" ไม่ว่ามันจะเป็นปัญหาที่มีความรุนแรงระดับ "ล้างโครต" หรือแค่ปัญหา "จุ๋มจิ๋ม" แบบ chill chill แต่ว่่าทุกครั้งที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตผม มันก็เหมือนกับเราเลือกไม่ได้ที่จะ "ผลักส่ง" มันออกไปแบบไม่ต้องแก้ไขตัว "ปัญหา" ว่าแล้วสิ่งที่ผมมักจะคิดอยู่เสมอๆตอนเจอปัญหาก็คือ "ไงๆมันก็ต้องเจออยู่แล้ว...จะเครียดไปทำไม?"

     ผมมักจะ "ยิ้ม" ทุกครั้งที่เปิดกระเป๋าแล้วเห็นว่า "ในกระเป๋าผมมันไม่เหลือเงินให้ถลุงเลยสักบาทเดียว" ราวกับว่่าผมเหมือนคนบ้า แต่ว่าทุกครั้งที่มันเกิดเหตการณ์อย่างนี้ มันก็เหมือนกับการที่เราได้พิสูจน์ตัวเองว่าเราจะ "สามารถอดทน" ต่อสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ได้รึเปล่า และที่สำคัญ เงินทุกบาททุกสตางค์จากกระเป๋าของเรา หากมันจะ "มีหรือหมด" มันก็เพราะตัวเรากระทำ เพราะแบบนั้นสู้ "ยิ้มให้กับมันดีกว่าที่จะมาตีหน้านั่งเศร้าราวกับหมาเหงา"

     ผมมักจะ "ยิ้ม" ทุกครั้งที่หัวหน้า "ด่าทอหรือกล่าวหาว่าร้าย" ผมในที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานบางคนยังเคยคิดว่าผมเป็น "คนประสาท" โดนหัวหน้าด่าแล้วทำท่าทางสบายใจ  แต่ว่าทุกครั้งที่หัวหน้ากระทำอย่างนี้กับผม ผมกลับคิดว่า มันก็เหมือนกับการ "ลดแรงกดดันให้กับตัวเอง" เพราะผมคิดว่าถ้าหากหัวหน้า "กล่าวชมกล่าวยกยอปอปั้น" เรามากเกินไปมันอาจจะสร้างแรงกดดันให้กับตัวเราเอง และหากบางทีเราได้เป็น "คนสนิท"  ของหัวหน้าเราแล้ว การจะทำอะไรมันย่อมเป็น "ขี้ปาก" ของเพื่อนร่วมงานซะเปล่าๆ

     ผมมักจะ "ยิ้ม" ทุกครั้งที่ผม "ไม่สบาย" หัวเราะทั้งที่ร่างกายไม่ไหว แต่ "จิตใจ" ของผมมันยังพร้อมที่จะสู้กับโรคร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และถึงแม้บางทีอาการมันอาจจะ "ทรุด" หนัก แต่ว่าทุกครั้งที่ผมเป็นโรคร้ายผมมักจะคิดว่า "ผมได้ลาพักร้อนและนอนหลับเต็มที่" หลังจากที่ชีวิตตอนมีร่างกาย "แข็งแรงปกติ" ไม่เคยได้ทำเลยสักครั้ง

     ผมมักจะ "ยิ้ม" ทุกครั้งที่ผมถูกเพื่อนร่วมงาน "เอารักเอาเปรียบ" บางครั้งของการทำงานคนทุกคนต้องเคยเจอการเอารักเอาเปรียบและ "กินแรง" ของเพื่อนร่วมงานและมันก็เกิดขึ้นทุกครั้งๆที่ผมได้ทำงานแต่ว่าทุกครั้งที่ผมถูกเพื่อนร่วมงานกินแรง แต่ว่าทุกครั้งที่เพื่อนร่วมงานกระทำเช่นนี้ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่ามันเหมือนเป็นการที่เราได้ "พิสูจน์" ตัวเองว่าเรามีความสามารถเหหนือกว่าคนอื่นๆ และพร้อมที่จะทำงานทุกๆอย่างโดยไม่ปริปากบ่น ซึ่งนั่นถือเป็น "คุณสมบัติที่ดี" ที่มนุษย์คนทำงานทุกคนพึงจะต้่องมี

     ผมมักจะ "ยิ้ม" ทุกครั้งที่ผมมีปัญหาทะเลาะกับ "แฟนสาว" (ตอนที่ยังมีแฟนอยู่) แม้บางครั้งปัญหาเหล่านั้นมันอาจจะดู "ปัญญาอ่อน" เกินไปกว่าที่จะมานั่งทะเลาะกันให้เสีย "ความรู้สึก" แต่ว่าทุกครั้งที่ทะเลาะกันผมมักจะคิดอยู่เสมอว่าอย่างน้อยที่สุดเราก็ยังมี "คนรักและคนรู้ใจ" คอยที่จะอยู่ข้างๆเราตลอดถึงแม้ว่าบางทีเราอาจจะมีปัญหากัยบ้าง แต่ผมมักจะหวนคิดถึง "สิ่งดีๆของเธอ" ที่มันย่อมมีมากกว่า "สิ่งไม่ดี" อยู่แล้ว เและเมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็รู้สึกว่าตัวเองมี "ความสุข" ที่สุดแล้ว

     ผมมักจะ "ยิ้ม" ทุกครัง้ที่ผม "เสียใจ" กับบางสิ่งบางเหตการณ์ที่เกิดขึ้นกลับผม ถึงแม้ว่าจะเสียใจมากแค่ไหนแต่ทุกครั้งที่เกิดเหตการณ์อย่างนี้ขึ้นผมมักจะคิดเสมอๆว่า การหัวเราะและยิ้มให้กับสิ่งนั้นมันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุกการที่เราทำหน้า "เบิกบาน" นั้นมันก็จะทำให้คนรอบข้าง มีความสุขที่จะได้อยู่ใกล้ๆเรา และหากคนรอบข้างของเรามีความสุขแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากหากเราจะมีความสุขตามคนเหล่านั้นไปด้วย




     ทุกวันนี้ผมยังคง "ยิ้ม" ให้กับ "ทุกเรื่องและทุกๆคน" ที่ผ่านมาในชีวิตของผม หลายๆคนอาจจะมองว่าผมบ้า แต่จริงๆแล้วผมอยากจจะบอกจากใจจริงว่าผมไม่ได้บ้าเพียงแต่ผมเป็นคนมองโลกในแง่บวกและแง่ดีเสมอมา (ถึงแม้ว่าบางทีมันจะดูเหมือนบ้าจริงๆก็ตามที)

     เคยคิดมั๊ยครับว่า คนบางคน "ยิ้มและหัวเราะ" ยากซะเหลือเกิน การจะทำให้คนเหล่านั้นหัวเราะสักครั้งหนึ่งเพียงแค่เอารายการ "ชิงร้อยชิงล้านซันซายน์ เดย์" มาเปิดให้ดูอาจจะไม่เป็นผล ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าการยิ้มออกมาหนึ่งทีสำหรับพวกเขาเหล่านั้นมันเป็นการยากเกินที่จะกระทำรึเปล่า? แต่เคยสังเกตมั๊ยว่าคนที่แทบจะไม่มีรอบยิ้มเปื้อนบนใบหน้าเลยนั้นมักจะเป็นคน "มีความเก็บกดและเครียด" สูง และผลของการวิจัยบางที่ก็ยังสรุปได้ว่า "การยิ้มและหัวเราะเป็นการระบายออกของเครียดเครียดที่ดีที่สุด

     เพราะแบบนั้น การทำหน้า "เคร่งขรึม" อาจจะทำให้คุณดู "ดื๊อ สวย ดุ หล่อ เท่" ขึ้นมาในสายตาของคุณและใครอีกหลายๆคน แต่มันอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตใจโดยตรงกับคุณเองและคนรอบๆข้างเช่นกัน เพราะงั้น ยิ้มไว้เถอะครับ ยิ้มให้เยอะๆ (อาจจะไม่ต้องเท่าผมก็ได้)

     บางสิ่งบางอย่างหลายชีวิตอาจจะประเดประดังเข้ามาหาคุณจนคุณ "ปรับตัวและรับมือ" กับมันไม่ทัน แต่ยังไงซะมันก็ย่อมมีทางออกของมัน และการจะไปถึงทางออกนั้นมันอาจจะง่ายดายขึ้นหากเพียงแค่คุณ




"ยิ้ม......ให้กับมัน"





วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

หึงแบบนี้ ไม่น่ารักเอาซะเลยนะครับ

   




      หึง!!!! ถ้าเห็นแฟนเราเดินอยู่กับคนอื่น (ที่เป็นเพศตรงข้าม)

     หึง!!!! ถ้าแฟนเราชอบคุยโทรศัพท์กะหนุงกะหนิงกับใครก็ไม่รู้

     หึง!!!! ถ้าแฟนเราชอบที่จะยั่วยวนคนอื่นต่อหน้าต่อตาเรา

     ครับ อาการหึง สื่อถึงความเป็นเจ้าของต่อคู่รักของเรา และเป็นอาการที่ "คนรักกัน"  มักจะแสดงออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ ยิ่งถ้าหาก คุณๆท่านใดเป็นคนที่ มีอารมส์ "ใจน้อย" ผสมกับ "ขี้โมโห" เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่างกาย อาการ "หึงแฟน" จะยากเกินจะเก็บกด จนต้องแสดงออกมาให้ สาธารณะชน ได้เห็นอยู๋เป็นประจำ

     การหึงกัน ถือเป็นเรื่องไม่เสียหายนะครับ และบางครั้งมันอาจจะสร้าง "ความน่ารัก" ให้ต่อผู้ที่ "ประสบ" และ "พบเห็น" อยู่เหมือนกัน

     แต่บางครั้ง การ "หึงหวง" ก็มี "ขอบเขต" ของมัน ซึ่งบางทีถ้าหากมัน "ถูกแสดงออก" มามากมายเกินจะรับได้ก็อาจจะมีผลเสียตามมา

     ว่าแล้ววันนี้ผมขอมากล่าวถึง "อาการหึงที่อาจจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อผู้หึง" กันครับ

     จำไว้นะครับ ถึงผมจะเป็นคนไม่ค่อยมี "สาระ" แต่บทความนี้ "อ้างอิง" มาจาก บางสิ่งบางอย่างที่มีสาระ เพราะแบบนั้น จำเอาไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ ว่าพวกคุณ ไม่ควรหึงคนรักด้วยอาการดังต่อไปนี้

          1 : อย่าหึงออกสื่่อ หรือต่อหน้า ธารกำนัล
     คนเราร้อยทั้งร้อยไม่ชอบให้ "สิ่งมีชิีวิต"  (ที่เราบางคนไม่อยากให้มีชีวิต) ที่เรียกว่า "แฟน" มาแสดงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นเจ้าของในตัวเรา ยิ่งต่อหน้า เพื่อนฝูง หรือ ต่อหน้า ลูกน้อง (หากคุณเป็นหัวหน้าน่ะนะ) อย่างเช่นการไป "วีน" หรือ "โวยวาย" ใส่แฟนคุณ ที่กำลัง "เทคแคร์" คนอื่น โดยที่ไม่รู้เลยว่า นั่เป็น "ลูกค้า" หรือว่า "คู่ขา" ของแฟนคุณกันแน่?
     คนเราไม่ชอบที่จะถูกแขวนป้ายห้อยคอด้วยประโยคที่ว่า "กรูกลัวเมีย(หรือผัว)" หรอกนะครับ เพราะแบบนั้นมันจะทำให้ "อิมเมจ" และ "ความน่า  เกรงขาม" ของเราต่อเพื่อนฝูงและในที่ทำงานติดลบหรอกนะครับ
      หากแค่การ     "เทคแคร์" ไม่จำเป็นต้องหึงมากหึงมายหรอกครับ เอาไว้ค่อย หึง และ "วีนแตกสุดตรีนส์" ตอนที่แฟนคุณกำลังจะ "เทคโอเวอร์" อีกฝ่ายจะดีกว่านะ!!!!

          2 : หึงแบบ "ระห่ำ กระฉูดดดดดดด"!!!!!!?????
     กรุณา "ท่องจำ" ใส่หัวสมองไว้เลยนะครับว่า ถึงแม้อาการหึงจะเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่ "ชัดเจน" ถึง "ความรัก" ที่เรามีต่อ"คู่รัก" แต่หากคุณเล่นหึงแบบ "ระห่ำ กระฉูด" คือหึงแบบ "สะเปะสะปะ" หึง "ไม่บันยะบันยัง" ปัญญาอ่อน ประมาณแบบว่า "หึงวันละ 3 เวลาหลัง แด๊กส์ อาหารเสร็จ" แบบนี้มันไม่ไหวนะครับ
     บางครั้งการหึงเกินความจำเป็นมันจะกลายเป็น "ความเบื่อหน่าย" ไ้ด้ เพราะงั้นหากคุณเก็บอาการหึงของคุณเอาไว้หึงตอนที่ "มันสมควรจะหึง" แบบนั้นมันจะดีกว่ากันเยอะเลยนะครับ
     อนึ่ง กระทรวงศึกษาธิการได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการแล้วว่า "บุคคล" เหล่านี้สมัยเป็นเด็กๆเมื่อ "พลัดหลง" กับ "ผู้ปกครอง" ก็จะแสดงอาการ "หึง" ออกมา หลังจากนั้นไม่นานอาการหึงของเด็กๆเหล่านี้ก็จะ "ร้องเรียก" ให้ผู้ปกครองตามหาพวกเขาเจออีกครั้ง เพราะแบบนั้น อย่าไป "ถือสา" คนชอบหึงสะเปะสะปะเลยครับ เราควรจะถามเขาดีๆเวลาเขาหึงขึ้นมาว่า "หึงหาพ่อมหาแม่มคุณเหรอครับ?" ดีกว่า

          3 : หึง......โดยใช้ "ส้นตีนส์" คิดแทนหัว
      เ่อ่อ.....โตกันจนควายเลียตูดไม่ถึงกันแล้วนะครับ ทำไมคนบางคนถึงชอบหึงราวกับในหัวไม่มี "สมอง" อย่างนั้นล่ะครับ อันนี้คงไม่ต้อง "อธิบาย" อะไรมากมายนะครับ เพราะหลายๆคนคงเคยประสบมากับตัวเองแล้วยกตัวอย่างเช่น "หึงระหว่างที่เรากำลังเทคแคร์ลูกค้าคนสำคัญ" เป็นตัวอย่าง
     อันนี้ก็ "น่าคิด" เหมือนกันนะครับว่าการที่คุณหึงแต่ล่ะครั้งเนี่ยมัน "กลั่งกรอง" มาจากหัวสมอง หรือ หัวแม่ตีนส์ของคุณกันแน่ เพราะคุณเล่นหึงแบบ "ปัญญาอ่อน" เกินจะทนรับได้ หึงราวกับ ไม่ได้ "ใช้หัวคิด" แต่กระนั้นลองคิดเอาเองนะครับว่า คุณใช้อะไรตัดสินใจระหว่าง "หัวใจ" กับ "หัวแม่ตีนส์" คุณถึงทนอยู่กับคน "ชอบหึง" แบบไร้มันสมองแบบนี้ได้

          4 : หึงแบบ "ยิงแมร่ง.....เลย"
     กล่าวง่ายๆคือ หึงแล้วต้องตาม "จองล้างจองผลาญ" หรือ "ทำร้าย" อีกฝ่ายให้ตายกันไปข้างนั่นเอง..............         มันก็คงจะปรกติหรอกนะครับ หากผู้ชายคนหนึ่งจะเดินเอากำปั้นไปแจกเป็นของ "ชำร่วย" ให้กับอีกคนหนึ่งใน ฐานะ ที่ "เมียกรูสบตากับมรึง" หรือ ผู้หญิงไป "วางมวยไทย" กับผู้หญิงอีกคน "โทษฐาน" มรึงทำ "นมหก" ให้ผัวกรูเห็น!!!!!
     หากอาการหึงแบบนี้เกิดขึ้นกับแฟนของผม ผมคงจะอยากเอาหน้าของผมแทรกลงแผ่นดินหรือไม่ก็ จับหน้าของแฟนผม "วางราบ" กับแผ่นดินแล้ว "บรรจง" เอารอยจูบจากหัวแม่เท้าของผม ประทับกับ ริมฝีปากของเจ้าหล่อนเหลือเกิน เพราะ การกระทำแบบนี้ มัน "บ่งบอก" ว่า สันดานของคุณเป็นคนชอบใช้ "ความรุนแรง" นะครับ เพราะงั้นไอ้นิสัยแบบนี้ขนาดผู้ชายมันมีมันยังดู "น่าเกลียด" เลย แล้วหากมันเกิดขึ้นกับผู้หญิงคุณลองคิดเอาเองนะครับว่า "มันจะน่ารักน่ากระทืบ" ขนาดไหน

          5 : หึงแล้ว กรูอยากตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!
     พูดง่ายๆเลยคือ "หึงแล้วขู่ฆ่าตัวตาย"!!!!!~ คุณใช้อะไรคิดครับเนี่ย หึงแล้วขู่ฆ่าตัวตาย กับคนอื่นได้ผลรึเปล่าผมไม่รู้หรอกนะครับ? แต่ถ้ากับผมบอกได้คำเดียวครับ    "เออ ตายๆไปเหอะมรึง!!!!!!!"
     คือมันรำคาญน่ะครับรำคาญ....... ก่อนจะฆ่าตัวตายทำไมพวกคุณไม่ลองถามหาเหตผลหรือความจริงจากฝ่ายตรงข้ามก่อนล่ะครับว่ามันเป็นยังไง แล้วถึงค่อยตัดสินใจทำอะไรลงไปทีหลังน่ะ แล้วถึงแม้ว่ามันจะเกิด"ความฉิบหาย" ขึ้นกับความรัก จนทำให้ต้อง "เลิกรา" กันไป คุณคิดว่ามันสมควรแล้วเหรอที่จะมา "สังหารตัวเอง" เพียงเพราะคนๆเดียวน่ะ
     รู้ครับว่า "รักมาก" แต่กรุณารู้ (จำใส่สมอง) ไว้ด้วยเช่นกันนะครับว่า ชีวิตของคุณ "คนสำคัญ" ไม่ได้มีแค่ คนรักของคุณคนเดียวนะครับ ยังมี "พี่น้องและเพื่อนๆ" ของคุณอีก แล้วไหนจะ "คุณพ่อคุณแม่" ของคุณอีกล่ะครับ   ไม่ว่าจะเกิดเรื่องห่าอะไรขึ้นระหว่าง "ความรักของคนแค่ 2 คน" แต่ คุณก็ยังมี "กำลังใจ" จากคนรอบข้างอีก "หลายชีวิต" คอยช่วยเหลือคุณอยู่นะครับ เพราะงั้นการหึงแล้ว "ขู่" อะไรไร้สาระแบบนั้น มันสมควรเป็นของคนที่ "ไม่มีหัวคิด" มากกว่านะครับ

          6 : หึงแบบอันธพาล?
     อันนี้ล่ะเบื่อที่สุดเลยครับ    คุณเคยจะเห็นนะครับกับอาการ "หึงแล้วพาลไปเรื่อย" จนอยากจะถามอีกฝ่ายว่า "หึงทำ Zoneteen อะไรคุณครับ"
     อ้าวอันนี้จริงๆนะครับขอให้คนเหล่านี้ได้หึงแล้วจะออกอาการ "พาลไปเรื่อย"  "พาลไม่หยุด" แยกไม่ออกว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องไหน แค่ลองให้ได้หึงดูแล้วล่ะก็ "ควายมาฉุดก็เอาไม่อยู่" แถมบางทียังพาลถึง "บิดามารดา" ของฝ่ายตรงข้ามอีก อันนี้มันเกินจับห้ามใจไม่ให้ "กระทืบ" ไม่ไหวจริงๆนะครับ
     ระวังตัวไว้หน่อยนะครับ หากปล่อยให้ความคิดใน ณ ขณะที่หึงอยู่เตลิดเปิดเปิงเลยเทิดออกทะเลไปล่ะก็มันจะเกิดเหตการณ์ที่ "กู่ไม่กลับ" และ "ความสำพันธ์" กับคนรักของเราจะ "อับปาง" ลงไปเพราะแค่ "อาการหึง" ที่กระจายพลังทำลายล้างเป็น "วงกว้าง" ของคุณ



     อันที่จริงแล้วมันยังมีอาการหึงอีกมายมากนะครับที่ "ไม่สมควรจะถือกำเนิด" ขึ้นมาบนเมืองมนุษย์ แต่เอาแค่นี้ไปอ่านแล้วคิด "ปรับปรุง" ตามให้ได้ก่อนก้็ถือว่า "ยากยิ่งกว่าบังคับตะวกดให้ยักคิ้ว" แล้วล่ะครับ

     อย่างที่บอกไว้ตอนต้นนั่นแหล่ะครับว่า "การหึงคนรัก" หากมันมีออกมาพอ "หอมปากหอมคอ" มันก็จะเป็นอะไรที่ดูน่ารักขึ้นมาทันที แต่หากมัน (เสือก) ออกมามากเกินความจำเป็น จากความน่ารักมันอาจจะกลายเป็น "ความน่าถูกกระทืบ" แทนซะก็เป็นได้!!!!!

   




  เพราะรักเลยหึงเราเข้าใจครับ.......

แต่มันคงไม่แปลกเหมือนกันหากความรักเราจะ "พัง" เพราะ "หึง" มากเกินความจำเป็น






วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

สวัสดีปีใหม่




   ตอนนี้ใกล้จะถึงช่วงเวลาแห่งความ "สนุกสนานแห่งการเลี้ยงฉลอง" ที่คนไทยเราเรียกมันว่า "วันสิ้นปีเก่า และ วันขึ้นปีใหม่" กันแล้วนะครับ เพราะงั้นก่อนอื่นเลย ผมก็ขอ "อวยพร" ให้ทุกๆคนบนผืนแผ่นดินแห่งนี้มีความสุข และ สุขภาพที่แข็งแรงตลอดทั้งปีหน้าด้วยนะครับ

     ผมเองเป็นคนหนึ่งที่คงไม่มี "โอกาส" ได้ไปเที่ยว "สังสรรค์" กับเพื่อนฝูง หรือ "ครอบครัว" ในวันสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้แล้วล่ะครับ เพราะติด "ภารกิจ" ที่คนแถวๆภาคใต้เรียกมันว่า "งาน" รั้งตัวเอาไว้

     ว่าแล้วผมเองก็อยากจะประชดชีวิตด้วยการ "กระโดดตึกตาย" สักครั้งโทษฐาน "น้อยใจ" ตัวเองที่ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเหมือนคนอื่นๆเขา

     แต่ไม่เป็นไร เพราะ "หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง" เหมือนกับที่ "เบน พาร์คเกอร์" คุณปู่ผู้น่าอาภัพบอกไว้กับ "สไปเดอร์ แมน" ในหนัง ว่าแล้วก็ขอลุยงานให้ชิบหายกันไปข้างเลยดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า

     ส่วนท่านใดที่ได้หยุดกันเต็มที่ก็ขอให้เที่ยวให้ "สนุก" นะครับ แต่ก็ควรจะอยู่ในขอบเขตด้วยเพราะสิ่งที่ผมจะมากล่าวในวันนี้มันก็เกี่ยวกับอันตรายในช่วงเวลา "สำคัญ" อย่างนี้ล่ะครับ

     คุณผู้อ่านสังเกตมั๊ยครับ หรือบางทีไม่ต้องสังเกตก็อาจจะรู้ได้ว่า พี่ไทยของเราเป็นพวกเห็นวันสำคัญไม่ได้ เพราะพี่แกจะจัดการ "ดื่ม" สิ่งที่แรกกันว่า "Lกฮ" (สุรา) กันในรูปแบบที่เรียกว่า "จัดหนัก"

    เมื่อดื่มกันจนได้ที่แล้วสิ่งที่ตามมาติดๆกับอาการ "เมา" คือ สิ่งที่เรียกกันว่า "ความประมาท"

     ว่าแล้วช่วงเวลาวันสำคัญๆต่างๆของประเทศไทยจะมีการเกิด "อุบัติเหต" กันยกใหญ่จนต้องมีการจักการ "รณรงค์" กันเลยทีเดียว

     วันสำคัญจะดื่มจะแด๊กส์อะไรมันก็เป็นเรื่องปกติของ "สัตว์โลก" ที่เรียกว่า "มนุษย์" นะครับ แต่ในกรณีของคนไทยนี้มัน "พิเศษใส่ไข่" ยิ่งกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาเพราะไม่ว่าวันห่าเหวอะไร พี่ไทยก็จะ "แด๊กส์" สุราสถานเดียว

     "วันแต่งงาน"  "วันเกิดเมีย"  "วันเกิดแม่"  "วันเกิดหมาที่บ้าน" "วันเกิด(อยากจะแด๊กส์)" หรือแม้กระทั่ง "วันตายของเมีย" แล้วไหนยังจะมีช่วง "ถือศิลกินเจ" ที่เขานิยมกินกันแต่ผัก "ว่าแล้วพี่ไทยก็จัดการ  "กระเดือก" ยอดข้าวที่ผ่านกระบวนการ "กลั่นกรองและหมัก" จนกลายมาเป็นเหล้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายกันอีก

     เรียกได้ว่า ได้ทั้งเมา และได้ทั้งกินผัก (ยอดข้าว) สมใจอยากกันเลยทีเดียว ฮ่าฮ่า

     แต่อย่างที่บอก สุราเป็นสิ่งซึ่งนำพาความ "ประมาท" มาสู่ตัวผู้ดื่มเองเพราะงั้น ในช่วงนี้กรุณา "ระวัง" และตั้งตัวอยู่ใน "ความไม่ประมาท" ให้ได้มากที่สุดนะครับ

     หากเมาหัวราน้ำขนาด "กินขี้หมาแทนข้าวสวย" ได้แล้วล่ะก็ อย่าไปขับขี่รถราเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวตัวคุณเองจะ "ชิปหาย" เอาซะเปล่าๆ

     หากจะเป็นต้องใช้รถแล้วล่ะก็ต้อง "รักษากฎจราจร" อย่างเอาเป็นเอาตายด้วยนะครับถึงจะดี หากจะขี่ มอไซค์ฯ ก็ต้องสวม "หมวกนิรภัย" หากจะขับรถยนต์ต้องคาด "เข็มขัดนิรภัย" และหากกจะ "เอา" กันก็ต้องสวม "ถุงยางอนามัย" ด้วยเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวมันจะยุ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า

     พูดถึงเรื่องความประมาทแล้ว อยากจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังเพื่อเป็น "อุทาหรณ์" ให้กับผู้อ่านได้รับรู้กันหน่อยนะครับ

     เมื่อประมาณกลางปี พ.ศ. 2554 เพื่อนผมที่ชื่อ "ไอ้ตู่" ขี่รถมอไซค์โดยประมาท ทั้งๆที่มันไม่ได้เมาห่าเหวอะไรเลยแท้ๆ แต่กลับพุ่งชนกับ "เป้าหมาย" ที่เรียกว่า "หลักกิโลเมตร" เข้าอย่างจัง

     แต่เกรงว่า "นรก" คงไม่อยากให้มันลงไปอยู่กับ "ท่านยมบาล" ว่าแล้ว ท่านก็เลยเสกให้ไอ้ตู่ได้รับแค่ "บาดแผลถลอก" เล็กๆบริเวณ หน้าแข้งเท่านั้นครับ แต่หลักกิโลฯ กลับหักไม่เป็นท่า นั่นแสดงให้ให้ถึงความ "บัดซบของรัฐบาลไทย" ที่กะอีแค่ "หลักกิโลเมรต" มึงยังไม่ยอมพัฒนาจึงทำให้มัน "แข็งแรง" น้อยกว่าหน้าแข้งเพื่อนของกรูอย่างเห็นได้ชัดเจน

     ว่าแล้วหลังประสบการณ์ "เฉียดตาย" ไอ้ตู่ก็ "โทรฯ" ไปบอกเมียของมัน และบอกให้เมียของไอตู่แจ้งข่าวให้ผมกับ "ไอ้อัด" เพื่อนสนิทอีกคนรับรู้

     เมียมันโทรมาจริงๆครับแล้วก็ส่งเสียงผ่าน "คลื่นสัญญาณกระแสไฟฟ้า" มาเข้ารูหูผมอย่าง "เอ็นจอยรูปาก" ว่า

     "พี่ตู่ขี่รถพุ่งชน หลักหัก!!!!!????"

     อ้าวไอชิบหาย ผมกับไออัดดันได้ยินแล้วคิดเองเออเองไปว่า "หลังหัก" ทั้งๆที่จริงๆแล้วเมียมันจะบอกว่า "หลักกิโลฯหัก"

     ตายโหงแน่นอนครับ หลังหัก ถ้ามึงไม่ "พิการ" แล้วล่ะก็มึงก็คงตายอย่างแน่นอน

     เพราะเป้นห่วงเพื่อนผมและไอ้อัดจึงรีบไปหามันที่บ้านทันเมื่อไปถึงบ้าน กลับพบไอ้ตู่ยืน "ยิ้มต้อนรับ" อยู่หน้าบ้านซะอย่างนั้นก่อนจะมารู้ที่หลังว่า ไอที่หักน่ะมันคือ "หลักกิโลเมรต" ไม่ใช่หลังของไอ้ตู่

     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า นอกจาก "การขับรถจะต้องไม่ประมาทแล้ว หากท่านประสบกับอุบัติเหตกรุณาแจ้งเพื่อนๆหรือครอบครัวของท่านอย่างไม่ประมาท" ด้วยเช่นกัน ฮ่าฮ่าฮ่า

     ใช่แล้วล่ะครับ หากเกิดความประมาทและนำพาซึ่ง "อบัติเหตมาแล้วล่ะก็มันจะไม่ดีต่อตัวคุณเองและ "คนรอบข้าง" ว่าแล้วก็ขอให้ไม่ประมาทกันนะครับ

     แต่ไม่ประมาทแล้วมันยัง (เสือก) เกิดอุบัติเหตขึ้นอีก หากเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ถ้าคุณไม่ได้บาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้องก็ขอให้คุณ "ตายๆ" ไปเลยดีกว่านะครับ อย่าอยู่ให้มันมีปัญหาและสร้างความ "เดือดร้อน" คนที่บ้านเลยดีกว่าครับ (อันนี้ผมล้อเล่นนะ ไม่ตายน่ะดีที่สุดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า)

     เพราะงั้นช่วงนี้ จะทำอะไรก็ขอให้ "ระมัดระวัง" หน่อยนะครับ เพราะอุบัติเหตมันอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทางที่ดีหากไม่มีกิจธุระอันใดที่จะต้องใช้รถราเราก็อาศัยการ "เดินด้วยตีน" เอาก็ได้ครับ

     ระหว่างนี้ข้างๆทางคงจะมีการประัดับตกแต่งกันอย่างสวยงาม เดินดูไปพลางๆก็ถือว่าไม่เสียหายนี่นะครับ

      แต่จะไปว่าแล้วมันก็มีบางกรณีนะครับที่ว่าเรา "ไม่ประมาท" แต่ไอ้พวกที่ "ประมาท" มันเสือกลากเราเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนี่ล่ะสิ

     เมื่่อก่อนผมมีเพื่อนรุ่นพี่อยู่คนหนึ่งแกขี่รถออกไปชื้อกับข้าวมาให้ลูกกับเมียและครอบครัวที่บ้านกิน แต่อยู่ดีๆสิบล้อเบรกแตกห่าเหวมายังไงมิอาจจะทราบได้ วิ่งพุ่งเข้ามาราวกับว่าคนชับมันอยากจะลงไป "ทัวร์นรก"

     ว่าแล้วก็ชนเข้าอย่างจังกันท้ายรถของรุ่นพี่ผมคนนั้นอย่างเต็มแรง!!!!!!

     สรุปเลยแล้วกันครับ รุ่นพี่คนนี้ตาย แต่ไอ้ (เหี้ย) คนก่อเหตุกลับถูกตั้งขอหาแค่ว่า "ขับขี่รถโดยประมาทและฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา"!!!!!!

     อ้าวไอ้ห่า ชีวิิตคนนะครับชีวิตคน..... ชีวิตคนที่รักครอบครัวและเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ตลอดมาต้องเสียไปแต่ไอ้ชิปหายคนกระทำความผิดกลับถูกยัดข้อหาเนี้ยเนี่ยนะ

     แหมว่าแล้วผมอยากจะฝากบอกไปยังคนที่ดูแลเรื่องนี้นะครับว่าสมควรจะปรับปรุงกฏหมายให้มันรุนแรงและดูสมเหตุสมผลหน่อยไม่ใช่ว่า "ฆ่า" ใครตายแต่กลับติดคุกไม่กี่ปีก็ออกมา "สร้างความชิปหายให้กับเมืองมนุษย์" ได้อีก

     หรือไม่ก็นะครับถ้ามันเป็นสิ่งที่ยากจะแก้ไข   ผมก็อยากจะแค่ขอร้องคุณพวกพี่ๆตำรวจทั้งหลายแหล่ก็ได้นะครับว่า เวลามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ช่วยทำเป็น "ลืม" เอาหูกับตามาทำงานด้วยก็ได้

     ปล่อยๆให้เพื่อนๆหรือญาติผู้เสียหายได้เป็นฝ่ายเข้าไป "กระทำกระทืบ"ผู้ต้องหา" สักหน่อยก็ได้นะครับ

     แต่ถ้าเกิดเหตการมันบานปลาย เสือกมีคนใดคนหนึ่งกระทืบผู้ต้องหาตายคาตีนขึ้นมาล่ะก็ พวกคุณพี่ก็ค่อยยัดข้อหา "มาดูแผนประกอบคำรับสารภาพโดยประมาท และ กระทืบผู้ต้องหาตายโดยไม่เจตนา" เอามั้งก็ได้ครับ!!!!!! (ฮ่าฮ่าฮ่า)

     ......ปีใหม่ีแล้วผมเชื่อว่าหลายๆคนคงไม่อยากให้มันเป็นปีใหม่สุดท้ายในชีวิตของทุกๆคนนะครับ เพราะงั้นผมขอสรุปสั้นๆเลยว่า "อย่าตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทและอย่าให้อารมส์มาอยู่เหนือจิตใจตัวเองและที่สำคัญที่ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีความสุขทุกคนนะครับ"







"สวัสดีปีใหม่ครับ"