วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

"เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์" (The Fucking bullet)

   

     ไม่เมื่อนานมานี้ผมโดนคนหนึ่งคน "วิพากย์วิจารณ์" อย่างรุนแรงในข้อหาที่ผม "พูดมากเกินเหตุ!!!!!!!"

     ผมถามว่า "แล้วทำไมรึ?"

     เขาบอกว่า เวลามีคนมาพูดถึงเรื่องผมที่ผมเคยไปพูดอะไรไว้แล้วเขาไม่อยากจะฟัง เขาเบื่อ และเพราะผมพูดมากเกินไป มันทำให้เขา "เกลียด" ผม (เขาไม่ได้พูดแต่ผมสังเกตุจากท่าทางได้)

     ต้องเล่าย้อนเหตุการณ์ไปว่า ในวันหนึ่งซึ่งผมไม่สบาย (อ่อนๆ) และดันไปชวนเพื่อนสาวระดับ "สวยลากไส้" ไปกระซวก ไอติมนาม Swensen's

     แล้วพวกเพื่อนร่วมงาน "ที่น่ารักน่ากระทืบ" ก็คาบข่าวนี้ไปซุบซิบนินทา ราวกับตัวเองเป็นนักข่าว "ปาปารัซซี่" ประมาณว่า ทั้งๆที่ไม่สบายทำไมถึงยังจะไปเที่ยวกินไอติมได้วะ? (โดยที่พวกเขาคงจะแกล้งโง่ไม่รู้จริงๆว่าผมพูดเล่น)

     และแน่นอนครับ บุลคลข้างบนดันมาได้ยินแล้วก็เลยมาต่อว่าผมประมาณว่า "ทำไมถึงต้องพูดอย่างนั้นแล้วคนอื่นเขาจะมองเรายังไง ไม่สบาย ทำไมถึงไปพูดอย่างนั้น ทำไมไม่นอนอยู่กับบ้านเขามองเราไม่ดีรู้มั้งมั๊ย" พลางชักดิ้นชักงอ ราวกับจะตายเสียให้ได้

     เอ่อ......บอกแบบ "ไม่เกรงใจนรก" เลยนะคับว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะตอบกลับความ "หวังดี" ของคนๆนั้นไปว่า "เสือกแมร่งมรึงเหรอคะ!!!!!!??????"

     เอ่อ....คืออยากจะบอกจังเลยนะครับว่า ผมจะพูดอะไรแล้วใครจะเอาไปพูดต่อหรือมองผมยังไง ทำไมผมต้องแคร์ เพราะในเมื่อมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงและที่สำคัญเพื่อนร่วมงานและคนที่หวังดีกับผมมันมาเดือดร้อนห่าเหวอะไรด้วยในเมื่อมัีนเป็นเรื่อง "ส่วนตัว" ของผม และ "ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น" ขึ้นไปอีกคือ ผมก็ยังไปทำงานโดย "ไม่มีขาดไม่มีอู้ ไม่มีกินแรง" เพื่อนร่วมงานคนอื่น (เหมือนไอ้พวกที่มันสบายดี ไม่พูดมาก แต่กลับยืนห่าไม่กระดุกกระดิกไม่ทำงานห่าอะไรราวกับซากหมาที่ตายไปแล้วยังไงยังงั้น)

     ตรงจุดนี้จึงทำให้ผมได้ทราบและเข้าใจว่า ตอนนี้ผู้คนโดยส่วนใหญ่ในที่ทำงานของผมได้กลายเป็น "นักแสดงนำและนักแสดงสมทบ" ของหนังชื่อดังเรื่อง "เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์" (The Fucking bullet"

     คำถามมีอยู่ว่า หากผมไม่สบายขนาดนั้นแล้วยังมีหน้าไปกินไอศครีมจริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นเพราะเมื่อในวันต่อมาผมก็ยังมาทำงานทั้งๆที่ไม่สบาย และยังทำงานขยันกว่าพวกที่สบายดีด้วยซ้ำ?

     คำตอบก็คือ มันจะต้องมีหนังภาคต่อเรื่อง "เสือกมหากาฬกระสุนโลกัลย์ ภาค 2 ตอน ตะลุยดง Swensen's" อย่างแน่นอนครับ (ถึงแม้ว่าผมจะมาทำงานไหวก็เหอะ)

     ไอ้ฉิบหาย!!!! พ่อมึงตาย!!!! หัวควย!!!! แอนด์ เดอะ มาเธอร์ ฟักเกอร์!!!!!!!! คือคำที่่ผมอยากจะพูดให้ไอ้พวกชอบ "เสือก" ซะเหลือเกินนะครับ เพราะแทนที่จะเสือกเรื่องชาวบ้าน พวกมึง "สมควร" จะมาช่วยกูยกข้าวยกของยกจานชามไปเก็บจะดีกว่า

     แต่ถึงยังไงก็ตามด้วย "วุฒิภาวะ" ของผมที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คำด่าข้างต้นเลยไม่ได้บินออกมาจากรูปากของผม แต่สิ่งที่ออกมากลับเป็นคำว่า "ขอบคุณครับ เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะระวังคำพูดให้มากกว่านี้"

     ที่จริงผมอาจจะพูดมากกว่านั้น แต่ถ้าใ้หสรุปรวบย่อผมก็คงจะพูดประมาณนั้นล่ะครับ

     ก็ในเมื่อเขากล้าที่จะมา "เสือก" เรื่อง "ส่วนตัวของกู" ผมก็ต้องยอมรับการ "สาระแน" ที่หวังดี และนำไป "ปรับปรุง" เพื่อให้ตัวผมจะได้ไม่ต้องโดนเขา "เสือก" อีกในภายภาคหน้า

     อนึ่ง คาดว่าหากผมไม่ปรับปรุงตัวเองแล้วนั้น สักวันอาจจะมาภาคต่อของ "เสือกหมาการฬกระสุนโลกัลย์ ภาค เกิดมาเพื่อเสือกเขาไปซะทุกเรื่อง" อย่างแน่นอนครับ

     และอีกอย่างหนึ่งคือผมไม่อยากให้เพื่อนร่วมงาน "เกลียด" ผมไปมากกว่านี้ เพราะหากเขาเกลียดผมกันหมดทั้งแผนกโทษฐาน "ไม่ค่อยจะเสือกเรื่องเพื่อน" มันก็จะทำให้ผม "คับใจ" และอาจจะต้องออกจากที่ทำงาน (อันอุดมไปด้วยเื่เพื่อนร่วมงานที่น่ารักน่ากระทืบ)

     หากไม่มีงานทำผมเองอาจจะกลายเป็นนักแสดงนำเดี่ยวๆในภาพยนตร์เรื่อง "พรุ่งนี้กูจะเอาอะไรแดกส์ my fucking tomorrow" ก็เป็นได้ เพราะแบบนั้นผมจึงเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถึงแม้ว่ามันอาจจะผิดกับ "สิ่งที่ผมเป็นไปบ้าง" แต่นั่นอาจจะหมายถึงการที่ผมรู้จักโตเป็น "ผู้ใหญ่"

     หากมีวันใดวันหนึ่งผมจะต้องย๊ายที่ทำงาน ผมอาจจะได้ "นิสัย" ที่ผมได้ปรับปรุงตัวเองมาแล้วจากที่ทำงานเก่า และเข้าไปเป็น "บุคลากรที่มีคุณภาพ" ของที่ทำงานใหม่ (เพราะอย่างน้อยผมก็จะไม่เสือก และไม่พูดมากเหมือนเดิมอีกแล้ว)

     แต่ไอ้พวกที่อยู่ในสถานที่ที่ "การเสือก" เป็นเรื่องปกติน่ะสิครับ



ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีกี่ชาติ สันดานคุณก็ยังคงชอบ "เสือก" เรื่องชาวบ้านเหมือนเดิมนั่นแหล่ะครับ