วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

กูมัน ...ขี้เหร่!!! กูมัน ...จน!!!

  

     แหม....ไม่อยากเลยครับ ไม่อยากเลย ผมไม่อยากเกิดมามี หน้าตาขี่เหร่ ไม่เอาไหน ฐานะทางบ้านห่วยแตก และ มีรูปร่างสัดส่วนที่ต้องเรียกได้ว่า "ผิดกฎของชายไทยอย่างรุนแรง" แบบนี้เลยครับ

     ว่าง่ายๆคือ ตัวผมมันเป็นอะไรที่ "สถุล" ไปหมด ทุกอณู และ มุมมอง

     ไม่มีอะไรดีเลยครับ ในร่างกายผม แต่อาจจะมีอยู่แค่สิ่งเดียวที่มันพอจะดีได้บ้าง และอาจจะดีกว่าคนอื่นเขา อันนั้นคือ "จิตใจ" ของผมเองไงล่ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า (อันนี้ล้อเล่นนะจ๊ะ)

     และเนื่องด้วยเหตฉะนี้หรือไงก็มิทราบ จึงทำให้ ผู้หญิงส่วนมากที่ผ่านมาใน ชีวิต ผม ผมมักจะไม่ค่อยได้เรียกพวกเธอเหล่านั้นว่า "แฟน" เท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันมักจะเป็นการ "แอบรักข้างเดียว" ของผมเองซะมากกว่า

     เพราะผมเองเชื่อในคำกล่าวของเพื่อนผมคนหนึ่งที่ชื่อ "นาย อถรรพล นุ่นมัน" ที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า

     "คือ ก่อนที่มรึงจะจีบคนสวยๆน่ะ มรึงกรุณาเอากระจกส่องหน้าตัวเองดูก่อน และถ้ากระจกมันไม่แตกซะก่อน อันนี้มรึงก็สามารถจีบได้ผู้หญิงคนนั้นได้ แต่ถ้ามรึงส่องแล้ว กระจกแตกดัง "เพล้ง" ขึ้นมา อันนี้ลองคิดดูเองแล้ว่กันว่า มรึงต้องโครตขี้เหร่ขนาดหนัก เพราะขนาดกระจกยังรับหน้าตามรึงไม่ได้เลย!!!!"


     ฮ่าฮ่าฮ่า

     ว่าแล้วผมก็เลยลองส่องกระจกดูสิครับ..... ปรากฎว่า....... กระจกแตกครับ ฮ่าฮ่า

     เพราะงั้นการที่ "ไอ้คนโครตขี้เหร่+จนโครตๆ" อย่างผมจะไปจีบใครเขา ก็กลัวว่า ฝ่ายหญิงเขาจะอายจนต้อง แทรกแผ่นดินหนี เนื่องด้วยเหตุผลที่มีควาย 2 ขา (อย่างผม) มาจีบหล่อน หรือไม่ก็ ผมอาจจะโดนเพื่อนๆล้อว่าเป็นไอ้พวกไม่ "เจียม body" เป็น ควายอยู่กลางทุ่งดีๆไม่ชอบแต่คิดจะเด็ดดอกฟ้าลงมาเชยชมให้อายชาวบ้านเขา ก็เป็นได้

     ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้ผมคิดว่า มันเหมาะ และ สมควร มากกว่า หากผมเลือกที่จะแอบชอบ ผู้หญิงสักคนหนึ่งที่ผมรู้สึกดีด้วย มากกว่าการไปเสนอหน้าจีบแบบ โจ่งแจ้งเกินไป เพราะอาจจะโดน "ของเข้าตัว" เอาก็เป็นได้

     ส่วนคนที่หลุดๆ หลงๆ มาคบกับผม พวกเธอโดยส่วนมากก็เป็นฝ่าย "บอกเลิก" ผมก่อนอยู่ดี ด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้นนั่นคือ "ผมมันสถุลไปทุกอณูและมุมมอง" (บางคนคบกับผมนานถึง 7 ปีแล้วยังเลิกกันเลย)

     เนื่องด้วยเหตนี้ ผมจึงยังไม่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจใครได้สักคนเดียว ทั้งๆที่ มีผู้หญิงหลายคนได้มีโอกาสเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจผมแล้ว แต่ สุดท้ายมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะความกลัวใน "ความขี้เหร่บวกกับความขาดแคลนทรัพย์" ของตัวเองทำให้ผมไม่มีความมั่นใจ และสุดท้ายผมก็เล่นไม่ได้ทำอะไรเลย

     เรียกได้เลยครับว่าผมเป็นไอ้พวก "แพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม" แล้วล่ะครับ

     ทุกวันนี้ ผมอยากจะออกไปตะโกนถามกับฟ้าซะเหลือเกินครับว่า


    
 "เนื้อคู่ของ กรู อยู่ที่หนาย~~~~~~!!??!!"



     ครับ คนที่เป็นเหมือนอย่างที่ผมกล่าวมา คงจะเข้าใจ "หัวอกและความรู้สึก" กันเองดีนะครับว่า เวลาที่เราแอบรักใครสักคนแล้วเราไม่ได้สมปรารถนานั้น มันช่างเป็นอะไรที่ทรมารซะเหลือเกิน แต่เวลาที่เรา ไม่เริ่มคบกับใครสักคนแล้ว พอสักพัก ถูกคนๆนั้นมาบอกเลิกไป มันช่างเป็นอะไรที่ "ทรมาร" ยิ่งกว่าอีกนะครับ

     เพราะคนอย่างพวกเรา เวลาได้เริ่มรัก และเริ่มคบ กับใครสักคน พวกเราจะ "จริงจังและจริงใจ" มากเป็นพิเศษ พลางคิดว่า "รักครั้งนี้แหล่ะคือรักที่ใช่"

     แน่นอนหากเราต้องจบความรักครั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่าย "ขอเลิกหรือฝ่ายถูกบอกเลิก" ก็ตาม(ส่วนมากจะเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกเพราะ ขี้เหร่เรื่องมากอะไรไม่ค่อยได้ ฮ่าฮ่า) คุณต้องเจ็บมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

     ตอนนี้ผมถูกแฟนทิ้งด้วยข้อกล่าวหาที่เธอบอกว่า "เธออยากได้ความอิสระ" แต่ในความเป็นจริง ควายมันยังรู้เลยครับว่าเธอมีคนใหม่ "ที่ดีและรวย" กว่าผม พร้อมที่จะให้อนาคตที่สดใสกับเธอได้มากกว่าผม

     แค่เจอกันวันแรก พี่แกก็เล่นถ่ายรูป รถ"เก๋งป้ายแดง" มาโชว์ให้แฟนผมดูพร้อมกับข้อความที่บอกว่า "สวยมั๊ย รถพี่เพิ่งชื้อเงินสดออกมาใหม่ๆ?" อะไรมันจะขนาดนั้น

     แหม....อย่างงี้บ่งบอกถึงคำว่า "รักจริง" เลยนะครับ ฮ่าฮ่า

     เธอคบกับเขาอยู่ดีๆ สุดท้ายแฟนเก่าผมดันไปสืบมาได้ครับว่า ผู้ชายคนนั้น มีลูกมีเมีย แล้ว แถม ยังอยู่กินกันมาตั้งนานอีกแล้วต่างหาก

     ฮ่าฮ่าฮ่า หากมองจากคนภายนอก หล่อน ไม่แตกต่างอะไรจากคนที่เรียกกันง่ายๆว่า "ชู้" เลยนะครับ

     นอกเรื่องมานานแล้ว เข้าเรื่องต่อดีกว่า.....

     ผมไม่รู้นะครับว่า วันหนึ่งผมจะรวย กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้าน รึเปล่า แต่ที่ผมรู้ และมั่นใจ แน่นอนคือ ถ้าผมมีคู่ชีวิต ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คู่ชีวิตของผมต้องอดตายแน่นอนครับ

     เพราะผม "ยากจน" มาก่อนและรู้ว่าความจนมันน่ากลัวขนาดไหน เพราะงั้นผมถึงมั่นใจว่า ในอนาคตผมต้อง "มี" ได้เช่นกัน

     อาจจะไม่มากเท่ากับคนที่ร่ำรวยทรัพย์สมบัติของบิดามารดา หรอกนะครับ แต่อย่างน้อยๆผมต้องมีในระดับที่ผมคิดว่า ผมสามารถใช่ชีวิตอย่างพอเพียงได้แน่นอน

     แต่สงสัยผู้หญิงคงจะชอบทางลัด เลยเล่นหาผัวรวยๆแมร่งมันซะเลย จะได้ไม่ต้องมาลำบากหาเงินให้เมื่อยที่หลัง ปล่อยให้ ผู้ชายจนๆ+ขี้เหร่ อย่างงเราต้องนั่ง "ปรับทุกข์กับเงา" ต่อไป (อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงผู้หญิงทุกคนนะครับ มันเป็นเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นที่จะเกาะผู้ชายกิน)

     ซึ่งในความเป็นจริงมันก็ไม่ผิดหรอกครับ...เพราะผู้หญิงทุกคนต้องการผู้ชายที่จะเข้ามาดูแลชีวิตของ"ตัวเองและครอบครัว" ได้อยู่แล้ว แต่ ต้องให้มันถูก"จารีตประเพณี" ด้วยสิครับ ไม่ใช่ผัวเขารวยก็ไปแย่งมา หรือเห็นผู้ชายคนใหม่รวยกว่า ก็เลยทิ้งคนเก่าทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แบบนั้น มันเป็นสิ่งที่ควรจะกระทำรึเปล่า?คุณเองก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ

     ที่สำคัญ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าไอ้พวกจนและขี้เหร่มันจะไม่มีวัน "มีอันจะกิน" ขึ้นมา และที่สำคัญกว่าคุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า คนหล่อรวยๆ เขาจะไม่มีวันทิ้งคุณไปหาคนใหม่ ในเมื่อ เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้อยู่แล้ว

     สำหรับคนที่เจอคนดีทั้งหล่อทั้งรวย แล้วก็รักจริงนั้นก็ดีไปนะครับ ถือว่า คุณเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากครับ แต่โดยส่วนมากที่ผมเคยพบเจอ (จากประสบการณ์โดยตรงของผมเองนะครับ) นั่นคือ คนหล่อและรวย มักจะไปมีใหม่จนฝ่ายหญิงต้องเลิก หรือไม่ฝ่ายหญิงก็ต้องทนอยู่แบบช้ำใจต่อไป (ก็ฝ่ายชายมันรวยน่าหว่า)

     ส่วนมากจะเป็นแบบนี้จริงๆครับ และผมคิดว่า หลายคนคงจะคิดเช่นเดียวกันกับผม

     ผมไม่รู้จะรวยขนาดไหนนะครับตอนที่ผมหมดลมหายใจในชาตินี้ แต่ถ้าเรื่องการดูแลในเรื่องต่างๆ ละก็ (พูดตรงๆคือเรื่องเงิน) ผมพร้อมที่จะทุ่มให้กับคนรักคนต่อไปของผมเต็มร้อยเหมือนเดิมครับ

     แน่นอนว่า ชีวิตคู่นั้นเรื่องจะ "มีหรือไม่มี" มันต้องขึ้นอยู่กับคน 2 คน ถ้าผมให้คุณไปหมดแล้ว คุณรู้จักเก็บออม รู้จักพอเพียง มันก็ต้อง "มีเก็บ" กันอยู่แล้ว จริงมั๊ยครับ?

     แต่ถ้าคุณอยากที่จะ ช็อปปิ้งกระจุยกระจาย ไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่ ทุกวันไม่เว้นวันหยุกราชกาล และไม่รู้จักทำงานทำการอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนชาวบ้านกล่าวหาว่าคุณเป็นคน "เกาะผัวกิน" ผู้ชายอย่างผมไม่ใช่คนที่คุณต้องการหรอกครับ

     แต่ถ้าคุณต้องการใครสักคนที่ให้คุณได้ทั้ง "ความมั่นคงทางร่างกายและความมั่นคงทางจิตใจ" ผมคิดว่าผมมีและพร้อมที่จะให้คุณครับ

     ถึงมั่นจะไม่มากเท่ากับคนรวยๆ แต่มันอาจจะยั่งยืนและยาวนานกว่าก็ได้?

     ผมเองหากเลือกเกิดได้ผมก็อยากเกิดมาหล่อและรวยเหมือนกันนะครับ

     เปล๊า...ไม่ได้หมายความว่าผมอยากเกิดมาสุขสบาย มีเงินใช้ไป10ชาติก็ไม่หมดนะครับ (จริงๆก็อยากแต่มันเลือกเกิดไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า)

     แต่ผมเบื่อนะครับ กับเหตผลที่เวลาผมถูกบอกเลิก

     เบื่อที่เขาหาเหตผลดีๆฟังเลิศหรูอลังการงานสร้างมาบอกเลิกกับผมโดยที่ไม่ยอมบอกเหตผลจริงๆที่เลิกกับผมว่า


เพราะกูมัน "ขี้เหร่" และ "จน" เกินไป



วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

เมื่อมันมีมากไปมันก็เริ่มจะกลายเป็นความ "น่าเบื่อ"

  
      "กฎเกณฑ์" คำคำนี้มีความหมายตามพจณานุกรมของไทยอย่างไรอันนี้ผมเองก็มิอาจจะทราบได้อย่างลึกซึ้ง แต่ในทางกลับกัน ผมมีความรู้ ความเข้าใจ และฉลาดพอที่จะรู้ว่า "กฎเกณฑ์" เป็นอะไรที่ คนแทบจะทุกคนควรจะพึง "ปฏิบัติ" ตามให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

     หากใคร ผู้ใด หรือหน่วยงานไหน ไม่สามารถประพฤติตนให้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่ดีได้ ผู้นั้นควรได้รับการลงโทษตามที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับนั้นๆ

     ครับ....กฎเกณฑ์ ของหน่วยงาน หรือองกรค์ใดก็แล้วแต่ มันไม่แตกต่างกับ กฎหมายของประเทศ ที่เราต้อง ประพฤติ ปฏิบัติ ตามกันอย่างเคร่งครัดเลยนะครับ ยิ่งถ้าคุณได้มีโอกาสทำงานใน องกรค์ หรือ บริษัทใหญ่ๆ คุณจะรู้โดยทันทีเลยว่า กฎเกณฑ์ ของพวกเขาเป็นอะไรที่ "แตะต้องไม่ได้" โดยเด็ดขาด

     ว่าง่ายๆคือ ห้าม "แหกกฎ" นั่นเอง

     ครับ....และเพราะมีกฎเกณฑ์ ที่เข้มงวดและเข้มแข็ง ราวกับ "มนุษย์เหล็กไหล" แบบนี้นี่เอง จึงทำให้องกรค์เหล่านี้ประสบความสำเร็จมามากมายต่างๆนาๆ บางองกรค์ถึงกับไปได้ไกลระดับประเทศเลยทีเดียว

     พื้นฐานมันเริ่มต้นมากคำว่า "รักษากฎเกณฑ์" นี่ล่ะครับ

     ......

     ......

     ......อันนี้จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากจะเถียงหรอกนะครับ เพราะผมเองไม่ว่าจะเข้าทำงานที่ไหน ก็มักจะรักษากฎเกณฑ์ ของที่ทำงานนั้นอยู่ เสมอๆ (ถึงกฎบางอย่างผมจะทำไม่ได้สมบูรณ์แบบก็เถอะ)

     และเพราะรักษากฎเกณฑ์เหล่านี้เอาไว้จึงทำให้ผมทำงานได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวใครจะมา จับผิด หรือ เอาผิด ผมได้อย่างเด็ดขาด (ก็กรูทำตามกฎทุกอย่างแล้วอ่ะ มรึงจะทำอะไรกรูได้? ฮะฮะฮ่า)

     แต่เคยลองสังเกตุกันมั๊ยครับว่า ทำไม บริษัทใหญ่ๆทั่วทุกแหงหัวมุม ต่างต้องตั้งกฎเกณฑ์ ที่มันมากมายและปรพฤติ ปฏิบัติ ตามยากเหลือเกิน      ท่านผู้อ่านเคยสังเกตุกันบ้างหรือเปล่าครับ?

     ผมเองจริงๆแล้วก็ไม่เคยสังเกตุหรอกนะครับ แต่เผอิญมีรุ่นพี่ผมคนหนึ่งดันมาบอกว่าทำไมเขาถึงมักชอบที่จะตั้งกฎให้มัน แรงๆ แข็งๆ ปฏิบัติตามได้ยากนัก (ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้อยากรู้ แต่เมื่อรู้แล้วมันก็ถือเป็น "ความรู้รอบเอวไปซะก็ได้)

     แกบอกอย่างงี้ครับ...

     "ไอบอล เอ็งรูรึเปล่าวว่าทำไม พวก บริษัท พวกนี้เขาชอบตั้งกฎให้มันมากเรื่อง จุกจิกจู้จี้ ทั้งๆที่บางเรื่อง มันก็ไม่จำเป็นต้องตั้งก็ได้ เอง็รมั๊ยว่าทำไม?"

     !?!?!?!?
    
     ผมส่ายหน้าราวกับ "ควายงง" ก่อนที่จะถามกลับไปว่า "ทำไมเหรอพี่....." (ขออณุญาติสงวนนามนะครับ)

     "ไอโง่ ก็เพราะเวลาที่เอ็งแหกกฎน่ะ มันจะได้หย่อนลงมาแค่นึดเดียวไง เอ็งลองคิดดูถ้าหากเอ็งตั้งกฎหย่อนๆ แล้วเวลาที่มีคน แหกกฎ มันก็จะยิ่งหย่อนลงไปอีกน่ะสิ ไอควาย แต่ถ้าเองตั้งกฎให้ ตึงๆ เข้าไว้ พอเวลามีคนมาแหกฎก มันก็จะได้ไม่หย่อนมากจนน่าเกลียดยังไงล่ะ เข้าใจมั๊ย?"

     "อ๋อ...ว่าง่ายๆคือ กฎที่เขาตั้งมาแข็งๆน่ะ เพราะเพื่อที่จะรองรับว่าเวลามีคนแหกฎก มันจะได้ไม่หย่อนจนเกิดไปใช่มั๊ยครับ พี่...."

     "เออ....แบบนั้นล่ะไอน้อง" พี่คนที่เรียกผมทั้ง "ไอโง่และไอควาย" พูดตบท้ายเอาไว้ครับ

     ไม่รู้ว่าที่แกพูดมามันจะเป็นเรื่องจริงรึเปล่านะครับ เพราะตัวผมเองส่วนมากก็จะคบอยู๋กับคนที่ไม่ค่อยจะมี "สาระ" อะไรให้น่าเชื่อถือได้อยู่แล้ว ฮะฮะฮ่า (ล้อเล่นนะ☺☺)

     แต่ที่ผมรู้ได้ก็มีอยู่อย่างหนึ่งล่ะครับ นั่นคือ ตลอดเวลาไม่ว่าผมทำงานที่ไหน งานอะไร งานกับองกรค์ขนาดไหนก็แล้วแต่    ผมไม่เคยปฏิบัติ ตามกฎเกณฑ์ ขององกรค์นั้นๆได้หมดทุกข้อเลยครับ แต่ในทางกลับกัน ผมจะ "ทำให้ดีที่สุด" ไม่ใช่ "ทำให้ถูกที่สุด" ตามความคิดของตัวผมเอง

     สิ่งไหนที่ผมทำแล้ว "สบายใจ" ผมก็จะทำ แต่สิ่งไหนหรือกฎข้อไหนที่ผมทำแล้วผมไม่สบายใจ ไม่ได้หมายความว่าผมจะแหกกฎ นะครับ แต่ผมก็จะเลี่ยงให้ผมไม่ต้อง แหกกฎ ข้อนั้นให้ได้มากที่สุด หากถึงที่สุดแล้วต้องเจอกับมันจริงๆผมก็จะ "แหกแบบนุ่มนวล" ที่สุดเท่าที่จะทำได้

     ครับ กฎบางข้อ เราอาจจะทำผิดจริง แต่เราเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เพราะงั้น "บางที" กรุณา ถามนิดนึงครับว่าทำไมพวกเราถึงเลือกที่จะ "กระทำ" อะไรที่มันต้องกลายเป็นการแหกกฎ และหากถ้ามันฟังไม่ขึ้นในสายตาของคนหมู่มาก ก็เชิญลงโทษได้ตามสบายเลยครับ

     หากเราทำผิดกฎหมายแล้วถูกจับส่งเข้าคุก โดยที่ไม่ได้ "แก้ต่าง" หรือ "แก้ตัว" อะไรเลย พวกเราจะมี "ศาลอุทรณ์" ไว้ทำพระแสงเลเซอร์ อะไรมิทราบครับ  เหมือนกันครับ ถามสักนิดนึงก็ได้ครับ

     จะถามว่า "ทำไมพวกมรึงต้องแหกกฎกันด้วยเคอะ?" แบบนี้ก็ไม่เป็นไรครับ มันยังดีกว่าการที่จะยัดเยียดในสิ่งที่เรา "ทำผิดจริง" แต่เราเองไม่มีโอกาสได้บอก "ความจริง" ไปซะเฉยๆอย่างนั้นนะครับ

     และถ้าหาก เหตผลของพวกกรู เอ้ย...พวกเราฟังดูดี สมเหตุสมผล หรือพูดง่ายๆคือ "ฟังขึ้น" การที่จะให้อภัยพวกเรามันก็คงจะไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรไม่ใช่หรอกเหรอครับ?

     หากกฎเกณฑ์ เปรียบเหมือน กฎหมายของประเทศ มันก็ต้องมีการให้อภัยกันบ้างตามความเหมาะสม เหมือนที่พวกเรายึดถือมาตลอดไงครับ กับประโยคที่ว่า "พ่อปกครองลูก"

     ลงโทษได้ ถ้าเราทำผิดและไม่มีข้อแก้ตัวที่ดีพอ เชิญลงโทษเลยครับ แต่ไม่ใช่ว่า อะไรนิดก็ "ผิดกฎ" อะไรหน่อยก็ "ผิดเกณฑ์" แบบนี้ก็ไม้ต้องกระดิกกันพอดีสิครับ............

     สมมุติ นะครับ สมมุติ

     ว่าถ้าผมทำงานอยู่ในโรงแรม ระดับเดียวกับไก่ย่าง (5ดาว) ที่เขาไม่ "อณุญาติ" ให้ใช้ห้องน้ำที่เอาไว้รองรับแขกผู้มาพัก ที่เผอิญห้องน้ำที่ว่านั้น ดันอยู่ชั้นเดียวกับที่ผมทำงาน ส่วนห้องน้ำของ พนักงาน ถ้าจะไปใช้นั้น ต้องลงบันใด ไปประมาณ 5 ชั้น ถึงจะเจอห้องน้ำพนักงาน

     และถ้าเผอิญออีกเหมือนกันครับว่า ตอนนั้นผม "ปวดขี้" ชนิดที่ว่า กรูไม่ไหวแล้วว์~~~~ โดยต้องใช้ สุขาโดยเร็วที่สุด  ตอนนั้นเองผมจึงรีบวิ่งปรู๊ด หายเข้าไปในห้องน้ำลูกค้า สักประมาณ 15 นาที (เอ่อ ผมเป็นคนขี้นานน่ะครับ) ก่อนจะออกมาใน Version โล่งตูด

     ผมเชื่อล้านเปอร์เซ็นครับว่า ถ้าหากมีหัวหน้าระดับบิ๊กๆมาเห็นผมวิ่งออกมาจากห้องสุขาของลูกค้าแล้ว พวกท่านต้องต่าว่าผมแน่นอนว่า "ผมบอกคุณแล้วใช่มั๊ยว่าห้าใช้ห้องสุขาของลูกค้า"

     หรือไม่ก็อาจจะถามก่อนว่า "ทำไมถึงใช้ห้องน้ำของลูกค้าคะ/ครับ คุณพนักงานสุดหล่อ?" แต่พอเอาเข้าจริงเราพูดอะไรไปพี่แกก็ไม่ยอมฟังท่าเดียวเลย หาเหตผลนู่นนี่มาอ้างตลอดเวลา จนมันน่าเบื่อ

     ถามเหตผลแล้วต้องฟังเหตผลด้วยสิครับ ถ้า ไม่งั้นจะถามหาพระบิดาคุณหรือไงมิทราบ

     หรือจะให้ผม "อั้นขี้" จนต้องขี้รดหัวลูกค้าก่อนจึงจะอณุญาติให้ผมเข้าไปขี้ในที่ที่มันใกล้ๆ ไม่ใช่ที่ที่มันไกลๆ ได้

     (เรื่องที่กล่าวมาเป็นเรื่องสมมุตินะครับ อย่าคิดว่ามันเกิดขึ้นจริงเป็นอันขาด)

     คุณรู้มั๊ยครับว่า หากคุณ เคร่งอยู่กับกฎเกณฑ์ มากไป มันจะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ "เรื่องมาก" และ "มากเรื่อง" โดยไม่รู้ตัวนะครับ ถึงแม้คุณจะถูกฝึกมาอย่างไร แต่การมาอยู่รวมกันกับกลุ่มคนที่เขาอยู่รวมกันมาก่อน หรือ อยู่กันมาก่อนหน้าเรา คุณต้องเป็นคนที่ไม่ "ใจแคบ" และไม่ "เรื่องมาก" ด้วยนะครับ ไม่งั้นมันจะอยู่กับคนอื่นเขาได้เหรอครับ? ไม่มีใครหรอกครับ อยากอยู่กับคนในแบบที่ผมกล่าวมา

     พอเถอะครับ อย่างเคร่งอยู๋กับกฎจนทำให้ทุกอย่างมัน มากเรื่อง และกลายเป็นความ "น่าเบื่อ" ไปเลยครับ
     ทำอะไรอย่าให้มันตรงเกินไป ไม่งั้นคุณจะได้รับรู้ "รสชาติอีกด้านหนึ่งของชีวิต" เหรอ? ว่ามันเป็นอย่างไร ในเมื่อวันๆคุณมัวแต่ทำตัวน่าเบื่อจนเพื่อนๆเขานินทากันน่ะ

     มันเหมือนกับที่ ผมเคยบอกกับแม่ไว้ตอนเด็กๆนนั่นแหล่ะครับ

     แม่ผมเป็นคนที่ชอบตั้งกฎเกณฑ์ เยอะแยะมากมายจนบางทีมันก็น่ารำคาญ (จริงๆแล้วเพราะท่านเป็นห่วงผม)

     ผมเนื่องจากแหกกฎของแม่อยู่บ่อยๆ แม่ผมเลยชอบ บ่น (บวกด่า) อยู่เป็นประจำว่า "ทำไมถึงได้ทำตัวเหลวไหลอย่างนี้"

     ผมแสะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไปตอบกับแม่ว่า



นี่แหล่ะ "รสชาติของชีวิต" ฮ่าฮ่าฮ่า

........................................................................................................................................................


เราพร้อมจะทำตาม แต่อย่าให้มันมาทำให้การทำงานของเราน่าเบื่อเลยครับ relax ซะบ้าง

..............................................................................................................................................................


บทความนี้ผมไม่ได้พากพิงถึงบุคคลใดๆทั้งสิ้น ขอโปรดทำความเข้าใจมานะที่นี้ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

ควันหลงวัน "สาด" ไทย

 
  ในช่วงวันหยุดสงกรานต์นั้นเป็นที่เข้าใจของหลายๆคนอยู่แล้วนะครับว่ามันมักจะเกิดเหตการณ์อะไรที่คนทั่วๆไปนิยมชมชอบเรียกกันว่า "ปาร์ตี้"

     ครับ....ไม่รู้เป็นเพระเหตอันใด แต่พอถึงช่วงของ ประเพณี "รดน้ำดำหัว" ที่ไร พี่ไทยของเรามักจะชอบทำอะไรๆเป็นหมู่คณะ อย่างเช่นการตั้งวงซะเหลือเกิน และชัวร์ที่สุดว่าพวกเขาคงไม่ได้ตั้งวงเพื่อที่จะเล่น "มอญซ่อนผ้า"กันอย่างแน่นอน

     แต่มันเป็นอะไรที่เรียกว่า "ตั้งวงเหล้า" ครับ....

     แปลกๆนะครับ ทั้งๆที่ความจริงการตั้งวงเหล้านั้นจะตั้งกันตอนไหน เมื่อไหร่ ก็ได้ เพราะมันไม่มีกฎหมายมีคอยกีดกันอยู่แล้ว แต่พวกๆพี่ทำไมถึงชอบตั้งวงกันตอนที่มีประเพณีสำคัญของไทยเยี่ยงนี้นักครับ

     จริงๆก็ตั้งวงกันเกือบจะเกิดขึ้นทุกวันอยู่แล้วนะครับ แต่พอวันสงกรานต์ปุ๊บ แมร่งคนไทยทั้งประเทศเล่น holiday กันยาวเฟื้อยแบบ "มาราธอน" กันเลยทีเดียวครับ ทั้งๆที่ช่วงนี้ ข้าวของต่างๆจากพวกพ้อค้าหัวหมอก็เตรียมตีว Up ราคากันอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วาย "กรูจะเมาให้ได้" กันอยู่ดี

     ตั้งวงน่ะ ตั้งได้ครับ.....  แต่ มันก็ต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาทด้วยเช่นกัน เพราะ เราจะเห็นกันเป็นประจำแทบจะทุกปีเลยในเรื่องของการออกมา รณรงค์ ให้ประชาชนขับขี่กันอย่างปลอดภัย ไม่ให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อตนเองและผู้อื่น

     จะเมาที่ไหนก็เชิญเถอะครับ แต่อย่าเมาจนเลยเถิด (เพราะเห็นว่าเป็นวันสงกรานต์) จนทำให้ตัวคุณเองและผู้อื่นเดือดร้อนไปตามๆกัน แบบนั้น วันสงกรานต์เองก็คงไม่ต่างจากวันที่มีคนต้องรับเคราะห์กรรมมากกว่าวันปรกติหรอกเหรอครับ?

     ทางที่ดี ต้องตั้งตัวเองให้อยู่ในสติด้วยถึงจะดีที่สุดนะครับ แบบนั้นไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหน จะทำอะไร และเป็นวันอะไร มันก็คงจะมีแต่ความสุขอย่างแน่นอนครับ

     ตัวผมเองถึงพูดอย่างนี้ แต่จริงๆแล้วผมเองก็ชอบที่จะทำการ "ตั้งวง" ในวันสงกรานต์มากเลยครับ ไม่ใช่ว่าเพื่อนๆได้อ่านบทความผมแล้วคิดว่า "ไอ้เหี้ย แมร่ง ไม่ชอบแด๊กส์เหล้าวันสงกรานต์ทำไมไม่บอกวะ? วันหลังจะได้ไม่ต้องชวนไป"

     เปล่านะครับ เปล่าเลย ผมชอบมากครับ สังค์สรรค์กันเพื่อนในวันสำคัญเนี่ย เพราะงั้น งานหน้ามีที่ไหน กรูณา Phone In มาเลยนะครับ พร้อมทุกเมื่อ เพื่อทุกสถานะการณ์ ฮ่าฮ่าฮ่า

     สงกรานต์ที่ผ่านมาก็เช่นกันครับ ผมนัดกับเพื่อนๆและพี่ๆที่น่ารักทุกท่าน ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ จากที่เคยแต่ "กระดก" อยู่หน้าบ้าน มาเป็น "กระดกกันริมชายหาด" มั้งดีกว่า เพื่อจะด้ความสนทรีย์มากกว่าเดิม

     ว่าแล้วพวกผมก็ทำการนัดกันตั้งแต่ก่อนสงกรานต์กำลังจะเดินทางมาถึงเกือบประมาณ 1 อาทิตย์เลยทีเดียว (เรียกว่า เตรียมการไว้พร้อมศัพท์)

     เมื่อวันที่ต้องเดินทางไปยังจุดหมายมาถึงทุกอย่างเป็นปรกติดีครับ ยกเว้นอย่างเดียวที่มันทำให้ผมกลายเป็นคนไม่ค่อยปรกตินั่นคือ กระเป๋าเงินผมหายครับ

     สงสัยกระเป๋าเงินของผมเองก็คงอยากจะเล่น สงกรานต์ กับทางเพื่อนๆของมันเหมือนกันนะครับ เลยขอทำตัวเป็นเด็กหนีเที่ยว แอบกระโดดออกจากกระเป๋ากางเกงผมไป และไม่กลับมาอีกเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

     เงินในกระเป๋าที่กระโดดออกจากกระเป๋ากางเกงผมไป มีจำนวนอยู่ประมาณ "หนึ่งพันบาท" หายไปซะเฉยๆเลยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า (ขอหัวเราะให้กับความโง่ของตัวเองซะ 1 ดอก)

     แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกครับ เพื่อนผมบอกว่า นั่นมันเป็นการ "ฟาดเคราะห์" เพราะหากผมไม่ทำกระเป๋าเงินหาย ผมอาจจะเจอเหตการณ์อะไรในรูปแบบที่เรียกว่า "บางตาย" ก็เป็นได้ เพราะงั้น ฟาดเคราห์ไปแบบนี้ล่ะดีแล้ว (มันจะคุ้มมั๊ยนะ?)

     ว่าแล้วไม่เป็นไรครับ ผมก็เอาเงินที่มีสำรองไว้ออกมาอีก หกร้อย บาท ซึ่งมันก็เพียงพอต่อการไปเที่ยวครั้งนี้ของผมแล้วล่ะครับ เพราะเราไปกันเป็น "หมู่คณะ" เพราะงั้นเลยมีคน แชร์ กันมากหน่อย

     ว่าแล้วเมื่อไปถึงที่หมายก็คือชายหาด "อุทยานแห่งหยงหลิง" ผมก็ต้องพบกับอะไรที่คนทั่วไปเรียกว่า "คลื่นมนุษย์" ซะงั้นครับ

     หากใครยังไม่เข้าใจผมก็คงต้องเอาคำพูดตอนนั้นมาบอกกันครับ ตอนนั้นผมพูดว่า

     "แมร่ง....คนโครตมากเลยว่ะ"

     ครับ เห็นมั๊ยครับ ว่าชนชาวไทยชอบที่จะ ปาร์ตี้ กันในวันสำคัญเพียงไร (มรึงรูมั๊ยว่าคนมากทำให้กรูหาที่วางตูดได้ลำบากมาก)

     สุดท้ายเมื่อหาที่ลงจอดตูดได้ ก็เริ่มละเลง "น้ำแห่งการสังค์สรรค์และน้ำแห่งการเข้าสังคม" (เหล้ากับเบียร์) โดยทันที

     "พี่บอมหมดแก้ว ไออัดหมดแก้ว พี่ต้นหมดแก้ว ทุกคนยกแก้วกระดกพร้อมกันไป"

     ตั้งแต่เวลาประมาณ 5โมงเย็น ไปจนถึงตี 4 ครับ.......ไม่รูว่าผมแด๊กส์ลงไปได้อย่างไร ผมว่าผมจะไม่ไหวแล้วนะครับ ไม่รู้มีเสียงสวรรค์จากไหนครับเอ่ยขึ้นมาว่า

     "On the rock เลยดีกว่า"

     ครับ...สำหรับคอเหล้าทั้งหลายแหล่คงรู้กันดีว่า On the rock คือการแด๊กส์แต่เหล้าเพียวๆโดยไม่ผสมโซดา หรือผสมอะไรอื่นยกเว้นน้ำแข็งประมาณ 1-2 ก้อน

     ไอ้ชิปหาย แค่ผสมโซดากรูก็เมาปลลิ้นแล้ว นี่เพียวๆ มันจะเหลือเหรอ?

     แต่เพื่อพวกพี่ๆและเพื่อนๆ งานนี้จึงไม่มีคำว่า ใครยอมใคร ทุกคนเล่น On the rock กันแบบรอบวงเลยครับ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ใครตายกันตอนไหน หรือเกิดอะไรหลังจากนั้นผมเองก็จำไม่ได้

     ผมรู้เพียงแต่ว่า ตั้งแต่เกิดมา



นี่เป็นปาร์ตี้ที่ผมเมาปลิ้น มีความสุข และสนุกมากที่สุดเลยครับ


(หวังว่าครั้งหน้าคงไม่ลืมที่จะชวนผมอีกนะจ๊ะ เพื่อนๆ และ พี่ๆที่น่ารักทุกคน ฮ่าฮ่าฮ่า)


วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีรับมือกับ"ความอกหัก"

     "อกหัก" มันเป็นเรื่องปรกติ ของคนรักกันที่ก็มีวันต้องเลิกรากันไป

     หากรักนั้น ยังไม่ใช่รักที่ "ใช่" ต่อให้คบกันนานแค่ไหน เดี๋ยวก็ต้องมีวันเลิกรากันไป และการเลิกรานั้นล่ะครับที่ วัยรุ่นไทยส่วนใหญ่นิยมเรียกกันติดปากมาแต่สมัยโบราณว่า "อกหัก"

     หากแต่เวลา อกหัก แล้ว ความ อกหัก มันไม่ได้พรากเฉพาะคนรักของเราไปอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือ มาแล้วไม่มาเปล่า แต่ความอกหักยังเอาอะไรที่เรียกว่า "ความเสียใจบรรลัยกัลย์" มาแถมเป็นของกำนัลอีกต่างหาก

     เรียกได้ว่าเป็นโชค 2 ชั้นเลยก็ว่าได้ แต่เป็น "โชคร้าย" นะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

     ผมเชื่อเหลือเกินว่า คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ต้องเคยผ่านอะไรที่ถูกเรียกว่า "ความอกหัก" มาแล้วไม่บ้างก็น้อย และเวลา อกหัก ก็จะต้องเจ็บใจไม่ มากก็น้อย แหล่ะครับ หากแต่ใครไม่รู้สึกอะไรเลย คงต้องบอกว่าคุณเป็นคนที่ "บรรลุอรหันต์ขั้นสูงสุดในเรื่องของการทำใจ" ได้แล้วอย่างแน่นอน

     ผมเองก็เชื่อว่าตอนนี้ผมกำลังอกหัก และแน่นอนที่สุด มันไม่ใช่การอกหักครั้งแรกในชีวิต (คือต้องเข้าใจครับว่า คนขี้เหร่มันต้องอกหักหลายๆครั้งหน่อยถึงจะเป็นคนขี้เหร่แบบ 100% เต็ม ฮ่าฮ่า)

     และผมเองเวลาอกหักก็จะทำใจไม่ได้ อยากจะลงไปนอน ชักแด่วๆ ราวกับคนขาดใจ ให้มันตายไปซะตรงนั้นเลย เพราะหลายๆคนคงรู้นะครับว่า การอกหักมันเป็นอะไรที่เรียกว่า "ทรมาร" มาก (และยิ่งหากคุณไม่ได้เป็นฝ่ายขอเลิกรา)

     ไม่อยากเลยครับ....ผมไม่อยากให้ทั้งตัวผมและ เพื่อนมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ต้องเจอเหตการณ์ร้ายแรงระดับชาติแบบนี้

     ว่าแล้วผมก็เลยอยากจะบอก "วิธีรับมือกับความอกหัก" อย่างได้ผลชะงักนักแล ให้กับ คนทุกคนที่ได้อ่านบทความอันนี้ของผมนะครับ โดยขอบอกไว้ก่อนว่า วิธีเหล่านนี้เคยผ่านการใช้มาแล้วกับตัวผมเอง เพราะงั้นใครจะเอาไปใช้ หรือเอาไปทำตาม ผมก็ไม่ว่า กันนะครับ เชิญตามสบาย

     เอาล่ะครับ มาดูกันดีกว่าว่า วิธีการรับมือกับความอกหัก ของผมนั้น มีอย่างไรบ้าง

     เชิญครับ....

     1.) ผู้หญิง (ในกรณีของผู้หญิงให้เปลี่ยนเป็น "ผู้ชาย" แทนนะครับ)
          เป็นเรื่องปกติครับ หากผู้ชายถูกทำให้อกหัก (โดยส่วนมาก) ก็ต้องเป็นเพราะฝีมือของผู้หญิงอยู่แล้ว (บางส่วนอาจจะเป็นเพราะผู้ชายด้วยกันเอง) "หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง" ว่าแล้ว หากอกหัก และต้องแยกห่างกับผู้หญิงสักคนหนึ่ง เราก็ต้องหาผู้หญิงอีกคน (หรือกลุ่ม) หนึ่งไว้อยู่ข้างๆกาย เพื่อบรรเทาอาการ "ช้ำรัก" ให้ได้มากที่สุดเลยสิครับ
          ถ้าผู้ชายอกหัก ใครละครับจะเยียวยาได้ มันก็ต้องผู้หญิง แน่นอนอยู่แล้ว ว่าแล้วก็เอาโอกาสนี้ล่ะครับ เข้าใกล้ เหล่าสาวๆให้ได้มากที่สุดไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตามแต่ (แต่ต้องไม่ผิดจรรยาบรรณด้วยนะครับ)  ยอมรับเถอะครับคุณผู้ชายทั้งหลายแหล่ เวลาคุณ "โสด" แล้วได้อยู่กับผู้หญิง สักคน หรือกลุ่มหนึ่ง มันจะทำให้คุณสบายใจจนบอกไมถูกเลยใช่ม๊ยล่ะครับ? แถมดีไปอีกที่ไม่ต้อง มีใครมาคอยตามหึงให้ปวดกบาล แต่เข้าใจไว้ก่อนนะครับว่าผู้หญิงที่คุณจะเข้าไปใกล้ชิดด้วยต้องเริ่มจากการเป็น "เพื่อน" ก่อนจึงจะดีที่สุด แต่หากเริ่มความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน (ว่าง่ายๆคือแฟน) แบบนั้นมันไม่ต่างอะไรจากผู้ชายที่ พอของเล่นเก่าเสียแล้ว ก็หันมาเล่นของเล่นใหม่เลยนะครับ แบบนี้อย่าดีกว่า เราต้องให้เกียจติผู้หญิงเขาด้วยนะครับ นั่นถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริง

     2.)เพื่อนฝูง
          นี่คือหลักสูตรตายตัวเลยครับ เวลา อกหัก ส่วนใหญ่ วัยรุ่นอย่างเราๆมักจะนึกถึง "เพื่อน" เป็นอันดับต้นๆเลย ว่าแล้ว คนอกหักใหม่ๆ ก็มักจะชวนเพื่อนๆร่วมก๊วนส์ ออกมา "ปาร์ตี้" สังสรรค์ เฮฮา กันแบบเอาให้ตายในรูปแบบที่เรียกว่า "ดื่มเพื่อลืมเธอว์" เละกันแบบจำไม่ได้ว่าแฟนเก่าเราชื่ออะไร  จนเราต้องหันไปถามเพื่อนว่า "คนที่เพิ่งจะทิ้งกรูไปน่ะ ชื่อไรแล้วนะ? กรูลืม!!" ฮ่าฮ่าฮ่า
          มันก็ได้ผลอยู่ในระดับหนึ่งนะครับ แต่ข้อเสียที่มักจะตามมาก็คือ โรคร้ายแรงชนิดหนึ่งที่น่ากลัวที่สุดที่คนตไทยนิยมเรียกโรคนี้ว่า "โรคทรัพย์จาง" น่ะสิครับ ก็เล่น "เมาปลิ้น" จนลืมตัว พอถึงเวลาคิดเงิน ราคาใน บิล ดันเป็น หมื่น!!!?!!!! อย่างงี้ตายสิครับ ไหนจะค่าทิปสาวๆสวยๆ น้องๆเด็กเชียร์เบียร์อีก โอ้ย.....จากที่มึนๆอยู่แล้ว ทีนี้มึนหนักกว่าเดิมอีก อย่างงี้ไม่ลืมเธอว์ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วล่ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

     3.)เที่ยว
          เป็นไปได้ต้องเที่ยวกับ เพื่อนๆ (ถ้าเป็นสาวๆด้วยล่ะก็ คุณอาจจะเจอคนรักใหม่โดยไม่รู้ตัว เหอเหอ) ครับ เที่ยวกันให้หลุดโลก เอากันให้สาแก่ใจ ออกไปดูโลก ไปดูฟ้า และดูว่า ประเทศเราเนี่ยมันมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าการที่คุณจะมานั่งเสียใจกับรักที่มันหมดไปแล้วด้วยซ้ำ
          ไม่แน่นะครับ พอคุณออกไปดูโลกภายนอกที่มันกว้างใหญ่ และไม่ได้มีเพียง "คุณ และ เธอ" กันเพียง 2 คนอีกแล้ว มันอาจจะทำให้คุณรู้ว่าโลกนี้มีอะไรน่าค้นหาอยู่อีกมากมาย ที่รอคุณอยู่ เผลอๆดีไม่ดีคุณอาจจะเจอความท้าทายใหม่ที่คุณไม่เคบประสบมาในชีวิตก็ได้ครับ ถึงตอนนั้นไม่ลืม ก็...ให้มันรู้ไป

     4.)งบประมาณ
          จริงๆอันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปนะครับ คนรวยๆ มีเงินเป็นล้านเวลาอกหักก็อาจจะเจ็บปางตายเหมือนกัน แต่ถ้าคุณคิดว่า ข้อที่ 1-3 ที่ผมกล่าวมามีโอกาสช่วยคุณบรรเทาความเจ็บของ "การอกหัก" ได้แล้วล่ะก็ ข้อที่ 4. นี้เป็นเพียงข้อเดียวที่จะเอาทั้งข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 3 มารวมกันได้!?!
          ครับถ้าคุณอยากจะไปเที่ยว กับเพื่อนๆที่เป็นผู้หญิงและผู้ชายปะปนกันไป เพื่อลดอาการที่เรียกกันว่า "แคร์คนรักเก่า" ไปล่ะก็ ต้องมีอะไรที่เรียกกันง่ายๆว่า "เงิน" ครับ ถึงจะไปถึงจุดสุดยอด (คือถ้าเงินไม่มากมันก็เที่ยวได้ แต่มันจะไม่ถึงจุดสุดยอดน่ะครับ)
          หากจะไปเที่ยว คงไม่มีที่ไหนที่ให้คุณเที่ยว "ฟรี" หรอกนะครับ ถึงคุณจะเข้าไปอ้างว่า "พี่ขา นู๋ขอนอนโรงแรมนี้ฟรี 1 คืนได้มะเคอะ?  พอดีนู๋เพิ่งอกหักมาน่ะค่ะ" เดี๋ยวจะโดนเจ้าของโรงแรมถีบกลับมาซะเปล่าๆ ยิ่งถ้าไปกับเพื่อนยังไงๆก็ต้องจ่ายเงิน เพราะยังไงก็ต้องกินต้องปาร์ตี้กันอยู่แล้ว ถึงจะแชร์กัน มันก็ถือว่าคุณยังต้องจ่ายอยู่ดีน่ะแหล่ะ แต่เพื่อนๆอุตส่าห์มาช่วยคุณบรรเทาความเจ็บแล้ว ถ้าคุณยังไม่เลี้ยงเขาเลย มันก็ออกจะ "สถุล" ไปหน่อยนะครับ ว่าแล้วสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือนี่แหล่ะครับ
          เงินถึง.......
          เงินถึง..................
        และ เงินต้องถึง..............

     5.)ครอบครัว
          อันนี้จริงนะครับ ไม่มีที่ไหนที่น่าไว้ใจและอบอุ่นไปกว่า "ครอบครัว" ของเราอีกแล้ว บ้านคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดทั้งต่อร่างกายและจิตใจของเราทุกคน ต่อให้ตลอดเวลาคุณจะหลงรักใครจนโงหัวไม่ขึ้น และ ลืมคนอื่นๆรอบข้างไปหมด แต่ที่สุดท้ายที่ช่วยคุณได้ก็คือ ครอบครัวนั่นแหล่ะครับ
          ถึงแม้ตลอดกเวลาคุณจะไม่นึกถึงครอบครัวเลย เวาลคุณรักอยู๋กับใคร แค่พอความรักนั้นจบลง บางทีคุณอาจจะนึกถึง สิ่งที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า "Family" เป็นสิ่งสุดท้ายก็ได้นะครับ ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แต่คนในครอบครัวอย่าง พี่น้อง และ "พ่อแม่" ไม่เคยคิดจะทำร้ายคุณเลยนะครับ เพราะอย่างนั้น กลับไปหาพวกเขาเถอะครับ ไมว่าต่อให้คุณคิดถึงพวกเขาเป็นคนที่ไหร่ก็ตาม แต่พวกเขาจะคิดถึงคุณเป็นคนแรกเสมอ กลับบ้านเถอะครับ "รักรอเราอยู่"


     ทั้งหมดนี่คือ "วิธีรับมือกับความอกหัก" ที่ผมคิดเอาเองว่าได้ผล ส่วนมันจะได้ผลจริงรึเปล่า อันนี้ผมเองก็มิอาจทราบได้

     ส่วนใครถ้าอยากจะรู้ว่ามันได้ผลจริงมั๊ย? ก็ลองดูสิครับ

     ลองบอกเลิกกับแฟนแล้วไปทำตามที่ผมบอกดู พอพิสูจน์ได้แล้วว่ามันได้ผลจริง รึไม่ได้ผลจริงก็จะได้รูกันไป?

     และพอพิสูจน์ได้แล้ว......

   หลังจากนั้นค่อยกลับไปง้อขอคืนดีกับแฟนใหม่อีกครั้งก็ได้นี่ครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
......
^_^

จับปลา 2 มือ!?!

     เคยได้ยินมั๊ยครับ กับสำนวนที่มีการสอนลูกหลานมา นมนานแล้วว่า "อย่าจับปลา 2 มือ"

     ล่าสุด สำนวนที่ว่านี้ถูกส่งออกจากปากของ "มารดา" ผู้เป็นที่รักยิ่ง มากระแทกรูหูทั้ง 2 ข้างของผม พูดง่ายๆคือถูกด่านั่นแหล่ะครับ

     แหม อยู่ดีไม่ว่าดี ผมก็หาเรื่องให้ พระมารดา ต่อว่า เอาจนได้นะครับ แต่ช่างเถอะครับ เพราะมีคนเคยบอกผมว่า "ถูกแม่ด่า มันยังดีกว่าถูกคนอื่นชม" (แต่ผมอยากถูกชมมั้งนี่น่า เหอเหอ)

     ที่มาของการด่า (จริงๆแล้วแค่ต่อว่า) ครั้งนี้ก็ไม่มีอะรมากมายหรอกครับ แต่เป็นเพราะ เทศกาลที่คนไทยทั้งประเทศเรียกกันว่า "สงกรานต์" นี่แหล่ะครับ เป็นต้นเหตทำให้แม่ผมพูดว่า "อย่าจับปลา 2 มือ" ขึ้นมา

     ท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านลองมาอ่านเรื่องราวของผมก่อนนะครับ และ ค่อย ตัดสินเอาเองว่า ผมสมควรจะถูก "ท่านแม่" ต่อว่ารึเปล่า?

     เนื่องจากเดือนเมษายนเป็น "เดือนแห่งการสังสรรค์" โดยแท้จริง คนส่วนใหญ่ในประเทศมักจะทำอะไรที่เรียกกันง่ายๆว่า "ฉลอง" (ไม่ใช่ภัคดิวิจิต) กันแบบต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าบางทีมันอาจจะเลยช่วงเทศกาลไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงถือคำโบราณ (รึเปล่าไม่รู้?) ที่ว่า

     วันศุกร์พี่ไทยก็เมา วันเสาร์พี่ไทยก็เมา วันไหนๆพี่ไทยก็เมา ฮ่าฮ่าฮ่า

     และเนื่องด้วยผมเป็นคนไทยที่มีเพื่อนฝูงอยู่มากพอสมควร (เพื่อนผมถูกเรียกเป็นฝูงเพราะส่วนมากมันจะไม่ใช่คน ฮ่าฮ่า) ว่าแล้วพอถึงเดือนที่ 4 ของทุกปี จึงจะมีการ "ตั้งวง" ระดับอลังการงานสร้างเลยทีเดียว

     ครับ เพื่อนมันชวนไปกิน ดื่ม เที่ยวแทบจะทั้งเดือนสำหรับในเดือนนี้

     และเนื่องจากผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะสนใจใน Lกฮ สักเท่าไหร่ ครั้นจะไปมันซะทุกงาน มันก็คงจะไม่ไหว (ผมไม่อยากจะ แจกอาหารให้หมามัซะทุกวันน่ะครับ)

     ว่าแล้วก็อยากจะทำการตอบ "ปฏิเสธ" งานไหนที่ผมเห็นว่าไม่ค่อยจำเป็นไปซะ

     แต่ทุกครั้งที่ตอบ "No" สิ่งที่เพื่อนๆมักจะพูดกลับมา (เชิงประชด) คือ

     "เออ มรึงไม่ต้องมาก็ได้ นานๆเจอกันที มรึงคงไม่ว่างนะสัส" หรือ

     "ทำงานไปต่ะ กรูรู้ว่างานมรึงน่ะ สำคัญ จะมาเมากับพวกกรูมรึงคงลำบากใจ ไม่เป็นไรว่ะเพื่อน กรูแมร่งโครตเข้าใจมรึงเลย"

     ว่าแล้วไม่ว่าเปล่า เพื่อนๆที่น่ารักของผมดันแจกของชำร่วยที่เรียกกันง่ายๆว่า "นิ้วกลาง" มาให้ผมเอาไปนอนเล่นที่บ้านอีก ฮา

     ครับ เนื่องด้วยกลัวจะถูกกล่าวหาว่าผมเป็น "โบ๋ทุ่มเพื่อน!!!" ผมจึงพยายามที่จะตอบรับมันแมร่งซะทุกงานเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ได้ดูเลยว่าร่างกายและจิตใจอันบอบบาง มันรับไหวแล้ว (ใครก็ได้ ช่วยกรูที~~~)

     เข้าเรื่องเลยครับ...... แม่ผมมาเห็นสภาพที่รับไม่ได้ของลูกชายสุดที่รักในสภาพที่ ไม่เมา แต่ "ดูไม่ได้" เลยทำให้เกิดอาการเป็นห่วง พร้อมกับบอกว่า

     "ไม่ต้องไปกินกับเพื่อนมากนักก็ได้ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา"

     "ไม่ได้หรอกครับ เพื่อนกันทั้งนั้น เวลาผมมีเรื่องเดือนร้อนอะไร หรือมีงานวันสำคัญของผมที่ไหน เพื่อนๆจะได้มาร่วมงาน ถ้าเราไม่ไปร่วมงานของเขาก่อน แล้วงานเราเขาจะมาเหรอ?"

     ครับ....ง่ายๆคือ ถ้าให้เขาก่อน เขาก็ต้องให้เราหลับมาทีหลัง เหมือนกันครับ ถ้าเราไปงานเขา ทีหลังงานของเรา เขาก็ต้องมา

     คงจะไม่มีใครหรอกนะครับ ที่อยากจัดงานวันเกิดแล้วไม่มีใครมาเลยสักคน มีแต่คุณที่ยืนร้องเพลง Happy birthday to me อยู่คนเดียว แบบนั้นให้ไปปาร์ตี้กับหมาข้างวัดมันยังดูจะสนุกกว่าอีกนะครับ

     แม่ผมเห็นว่าผมยังคงดื้อดึงทำท่าจะไปมันซะทุกงาน (ปาร์ตี้) แกก็เลยพูดออกมาว่า "อย่าจับปลา 2 มือสิ ไปเฉพาะงานที่มันสำคัญๆก็พอแล้ว งานไหนไม่สำคัญ หรือ ถ้าเพื่อนคนไหนไม่ได้อยู่ต่างจังหวัดล่ะก็ ค่อยไว้เจอกันวันหลังก็ได้"

     แหม....พูด คุณแม่ครับ พูดน่ะง่ายนะครับ แต่เวลาตอบปฏิเสธ น่ะสิครับมันยาก เพื่อนๆจะเข้าใจหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า

     ในขณะที่ผมกำลังจะบอกแม่ว่า "ผมยังไหว" อยู่นั้นเอง แม่ผมก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า

     "แกน่ะ จับปลา 2 มือแบบนี้ เดี๋ยวมันก็หลุดมือไปซะ ทั้ง 2 ตัวเลยหรอก แกต้องจับปลา 2 มือแบบแม่นี่ถึงจะถูก"

     เอ๊ะ.....สำนวน "จับปลา 2มือ" ยังมีในอีกรูปแบบอื่นอีกเหรอเนี่ย ทำไมผมถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย

     "ยังไงล่ะครับ แม่" ผมถามกลับแม่ไป

     แม่ผมแสระยิ้มก่อนที่จะพูดต่อมาว่า

     "ก็แม่เอามือ 2 ข้างเนี่ย จับปลาแค่ตัวเดียวไง จะได้จับแน่นๆ ไม่หลุดมือน่ะสิ ฮ่าฮ่าฮ่า"

    

 เออ จริงของแม่แฮะ



ขอบอกไว้ก่อนเลยตอนนี้นะครับ งานปาร์ตี้ของเพื่อนบางงานผมเองก็อยากไปเพราะอยากไปนะครับ ไม่ได้หวังให้เพื่อนๆทุกคนมาตอบแทนผมด้วยการมางานปาร์ตี้ครั้งต่อไปของผม อันนี้ ถ้าเป็นเพื่อนระดับเห็นขนหน้าแข้งก็รู้ชื่อพ่อแล้วล่ะก็ ต่อให้คุณพาไปไหนผมก็ไปครับ.....โดยที่คุณไม่ต้องตอบแทนอะไรผมเลย ฮิฮิฮิ

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

"สวยเลือกได้" กับ "สวยได้เลือก"


   เคยได้ยินคำว่า "สวยเลือกได้ มั๊ยครับ?

     คำๆนี้สงวนสิทธิ์ให้คนที่ใช้ได้มีเฉพาะคนที่มีหน้าตาในระดับเดียวกับ "น้อง แพนเค๊ก เขมนิจ" หรือ "น้องเจนนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ" เท่านั้นนะครับ

     คือถ้า "ไม่สวยก็กรุณาไปไกลๆคำนี้เลยครับ"

    ใช่ครับ...คนสวย ถึงสวยมาก โดยส่วนมากจะจัดเป็นคนที่สวยเลือกได้ (คนสวยบางคนก็ไม่ค่อยเลือกนะครับ อันนี้ผมไม่ได้ว่าผู้หญิงทุกคน)

     และคนสวยๆแต่ละคนก็จะมีผู้ชายใน "สต๊อก" ไว้ให้เลือกได้มากอยู่แล้วล่ะครับ

     เรียกง่ายๆว่า มีสำรองไว้เพียบ นั่นเอง ฮ่าฮ่า

     ไอ้ครั้นจะเอา (ผู้ชาย) ออกมาใช้ทีเดียวหมดสต๊อก เดี๋ยวคนรอบๆข้างอาจจะมองว่าเป็คน "ดัดจริต" เอาได้ เพราะงั้นก็เลยต้องเอามาใช้ทีละคนทีละคน ดีกว่า จะได้ไม่ถูกของ "เข้าตัว" ในภายหลัง

     และโดยส่วนมาก ผู้หญิงระดับ "สวยเลือกได้" จะอยู่ในระดับ สวย รวย เริ่ด เฉิดฉาย ที่สุดในหมู่สาวๆด้วยกัน

     ว่าง่ายๆคือ มัน "เด่น" ที่สุด นั่นล่ะครับ

     เพราะว่าเป็นคนสวย เลยทำให้ผู้ชายส่วนมาก (แน่นอนผู้ชายอย่างเราๆต้องชอบผู้หญิงหน้าตาดีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว) ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องมีการ ชิงดีชิงเด่นกันอย่างมาก แต่ก็ไม่วายยังจะขาย "ขนมจีบ" ให้กับผู้หญิงระดับ "สวยลากใส้" เหล่านี้อย่างไม่ขาดสาย

     และมันก็แทบจะเป็นเรื่องปรกติเลยว่า ผู้ชายที่ มาวิน พิชัย ใจ"สวยสั่งได้" ในท้ายที่สุด มักจะเป็นคนหน้าตาดี เหมือนกัน (คนหล่อก็คู่กะคนสวย ปล่อยพวกเราขี้เหร่ๆ ให้เอากันเอง ฮ่าฮ่า)

     ดังนั้น สาวๆเหล่านี้เลยมัจะคิดอยู่เสมอๆว่า ตัวเองเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของ คนที่อยู่ใน "สต๊อก" ขอเพียงแค่ สลับรางให้เก่งก็เป็นพอแล้ว ทุกอย่างเธอก็จะควบคุมได้หมด (อันนี้ไม่ใช่คนสวยทุกคนนะครับ คนสวยดีๆก็มีอยู่เยอะ แต่คนสวยดีๆ มักจะได้กับผู้ชายหน้าตาขี้เหร่ๆอย่างผมน่ะสิครับ ฮ่าฮ่าฮ่า)

     พูดง่ายๆว่า คนบางคนเห็นการที่ ผู้ชายจีบผู้หญิง เป็นเพียวแค่ "เกมส์" เท่านั้นเองครับ

     โดยผู้หญิงเหล่านี้โดยส่วนใหญ่หารู้ไม่เลยว่า การทำแบบนี้น่ะ มีเพียงผู้ชายไม่กี่คนหรอกครับที่จะ ยอม "โง่" ถูกคุณหลอกใช้ไปตลอดน่ะ

     พอผู้ชายบางคนเริ่มที่จะ รับรู้ได้ถึงความไม่ค่อยจะมีมารยาทของการเป็น "ผู้ถูกจีบที่ดี" หรือ เริ่มที่จะ ตะขิดตะขวง ใจแล้วว่า ผูหญิงคนนี้ไม่จริงจังกับเรา ฝ่ายผู้ชายเองน่ะล่ะครับ ก็จะเป็นคนเดินออกจากชีวิตผู้หญิงไปเอง

     อย่าได้ใจนะครับว่า คุณยังมี ตัวสำรองอีกมากมาย เพราะหากทำอย่างงี้บ่อยๆเข้า ผู้ชายหลายๆคนก็จะออกห่างจากคุณไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ปากต่อปาก ของผู้ชายด้วยกันเอง (ไม่ใช่ดูดปากกันนะครับ) ก็จะแพร่กระจาย ความ มารยา ของคุณจนสุดท้าย คุณอาจจะไม่มี "สต๊อก" เหลือไว้ใช้อีกเลยก็เป็นได้

     วิธีการของ "สวยเลือกได้" เหล่านี้ ก็คือจะ "หยอด" เขาไปทั่ว ทำให้ผู้ชายแต่ละคนคิดว่า พวกเขาคงไม่โอกาสจีบติดไม่น้อย ก็เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายมาทอดสะพานเองแบบนี้ (ใครล่ะครับจะไม่อยากจีบ ถ้าคนสวยๆ เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาก่อน)

     เรียกง่ายๆก็คือ "ให้ท่า" นั่นเองครับ ฮ่าฮ่า

     สุดท้ายพอเอาเข้าจริง กลับไม่เลือกใครสักคน หรือไม่ก็เลือกคนที่ดี (รวย) ที่สุด โดยให้เหตผลกับพวกผู้ชายที่ ตกอันดับว่า "ที่ผ่านมาเราคิดกับเธอว์แค่เพื่อนเท่านั้นนะเคอะ!!" อะไรแบบนี้เป็นต้น

     โดยที่บางทีคูรเองก็หารูเรื่องไม่ว่า ผู้ชายที่ "เอาคุณ" เองนั้นก็มีผู้หญิงเก็บสำรองไว้เป็น สต๊อก เหมือนกัน (หนามยอกเอาหนามบ่งล่ะครับทีนี้)

     ไม่ใช่ว่าไม่ให้เลือกนะครับ ผู้หญิงย่อมอยากได้ผู้ชายดีมาเป้น "คนรัก" มันเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วล่ะครับ

     แต่อย่าให้ท่าผู้ชายไปซะทั่ว และทำอย่างกับว่าผู้ชายเป็นตุ๊กตาที่อยากจะเก็บให้ได้หลายๆตัว แล้วเอาไปคุยโม้กับเพื่อนๆสิครับ (ผู้ชายก็เป็นคนนะครับ)

     ทางที่ดี (ที่ผมคิดเองนะ) พวกคุณควรจะเริ่มคบกับผู้ชายทุกคนที่เข้ามา จากสถานะ "เพื่อน" ก่อน ทั้งการกระทำและการพูดจา อย่าทำเหมือนคุณให้โอกาสเขา หรือเขามีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะจากเพื่อนแล้ว ทั้งๆที่คุณยังไม่คิดอะไรจริงจังกับทุกๆคนเลย

     เป็นแบบที่คุณเป็นน่ะแหล่ะครับดีที่สุด แค่หน้าตาของคุณสวยอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้อง ทอดสะพาน หรือ ให้ท่า สักวันหนึ่งก็ต้องมีผู้ชายที่รักคุณจริงและพร้อมจะพิสูจน์ให้คุณเข้าใจถึง "รักของเขาที่มีต่อคุณ" อย่างแท้จริงอยู่แล้ว

     และวันหนึ่งถ้าหากคุณเจอผู้ชายที่พิสูจน์ความรักของเขาให้คุณเห็นแล้ว อาจจะเข้าใจ ความรักมากขึ้นว่า มันไม่ใช่เป้นเพียงแค่เกมส์ หรือการเล่นเท่านั้น

     เมื่อวันนั้นมาถึง คุณอาจจะ "สวยไม่เลือก" แล้วก็ได้ เพราะคุณอาจจะรัก ผู้ชายที่ยอมพิสูจน์ความรักของเขาให้คุณเห็นจนคุณไม่อยากจะเลือกใครอีกแล้วก็เป็นได้ครับ

     เลือกได้ครับ แต่เลือกที่ล่ะคนก็พอ คนไหนไม่ใช่ ก็ จบความสัมพันธ์กับคนๆนั้นและเริ่มเลือกใหม่อีกคน

     มันก็เหมือนการกิน ไอศครีม นั่นล่ะครับ คนหนึ่งคนมี 1 ปากจะกินไอศครีมได้สักกี่แท่งกันเชียวครับ มันก็ต้องกินทีล่ะแท่งอยู่แล้ว ถูกมั๊ยครับ?

     ถ้าคุณสวยและทำตัวสวยเหมือนหน้าตาแล้วล่ะก็ ผู้ชายก็จะเข้ามาให้คุณ "ได้เลือก" โดยที่คุณไม่ต้องไป ทอดสะพานเลยล่ะครับ

    แต่ถ้าคุณสวย และทำตัวไม่น่ารัก เที่ยวให้ท่ากับคนทุกคนที่สนใจในตัวคุณ ทำให้คุณ "เลือกได้" ทีล่ะหลายๆคนนั้น มันดูไม่สมกับเป็นผู้หญิงที่ดีเลยนะครับ

     คนสวยๆทุกคน คุณเลือกเองได้นะครับ


ว่าคุณจะเป็นคน "สวยเลือกได้" หรือ "สวยได้เลือก"

..................................................................................................................................

**ผู้ชายที่มีนิสัยเหมือนผู้หญิงแบบที่ผมหล่าวมา พวกคุณก็นิสัยแย่พอๆกันนะครับ ผมไม่ได้คิดจะว่าแต่ผู้หญิงฝ่ายเดียว
...............................................................................................

***(ผู้หญิงบางส่วนด็ไม่ได้เป็นอย่างนี้นะครับ ผู้หญิงที่หน้าตาดี และนิสัยดีก็มีอยู่มากนะครับ เพราะงั้นบทความนี้จึงสื่อไปถึงผู้หญิงบางกลุ่มที่มี พฤติกรรม ตามทีผมเขียนเท่านั้น ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะ ดูถูกผู้หญิงทุกคนเลย    จึงขอเรียนมาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ)

"แม้ความฝันนั้นได้ลอยไกลห่างออกไป"

 
           รอยยิ้มยังคงมีอยู่เหมือนเดิม................


                เจอหน้าคนอื่นๆที่ยังคงเป็นคนเดิมๆ..................


                         ...................แต่ทำไมมันรู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างขาดหายไป...........


         ........เพียงแค่ผู้หญิงคนๆเดียว ทำไมเราถึงลืมไม่ได้.....................


                 คนที่ไม่เคยรักเราเลย หรืออาจจะเคยรักเรา แต่ตอนนี้"ความรัก"มันเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีตัวตน และจับต้องไม่ได้ไปซะแล้ว


                 ทั้งทั้งที่ตอนรักกันดี ความรักมันก็ไม่มีตัวตน แต่เรารู้สึกว่ามัน "จับต้อง" "มีตัวตน" และ "รับรู้ได้"


       ..............แต่พอเลิกรากันไป ความรักกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน...............


         เหมือนที่เรา ไม่มีตัวตนในสายตาของเขาคนนั้นอีกแล้ว..............


   อะไรทำให้เธอเปลี่ยนไป ทั้งๆรักกันดี..................


                                                                            ..........................รักกัน ด้วย "ชีวิต" และ "หัวใจ"

                                  ..............แต่ตอนนี้ ทำไมมันถึงจบแบบนี้..............

                    ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรามีทั้ง "ความสุข" และ "ความทุกข์" มาด้วยกัน

...........................เคยหัวเราะด้วยกัน เคยร้องไห้ด้วยกัน....................เคยยิ้มด้วยกัน................

               และที่สำคัญ............."เคยสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน"...........................

                     แต่ตอนนี้ แม้แต่คำพูดเราที่ผ่านทาง โทรศัพท์ เขายังไม่อยากได้ยิน

                  .............................ทำไมมันถึงเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้

                              .....................................และที่สำคัญที่สุด ทำไมเราถึง "เจ็บจนไม่อยากหายใจ?".....

                   ความรู้สึกที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเจอ และเราก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ไม่ว่ากับใครก็ตาม....

                   มันมาเกิดขึ้นกับเรา.........................................

                                             จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเรา "เจ็บ"               

                                       แต่ถึงแม้จะเจ็บปางตายแค่ไหน เราก็คงจะต้อง.....

                           คงจะต้องปล่อยให้เธอเดินจากไป และฝืนยิ้มแกล้งทำเป็นว่าเราไม่เป็นอะไร

            ...............ทั้งที่จริงๆแล้ว มัน ""เจ็บ" เกินกว่าที่คนหนึ่งคนจะรับได้.................

                          ต้องฝืนและพูดทั้งน้ำตา ที่ไหลผ่านรอยยิ้ม

                   ."ไปเถอะครับ หากนั่นเป็นทางที่ เธอเลือก"..................

                         "เราจะยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ ยืนดูเธอเดินไปในทางที่เธอได้เลือก"....................

                          "หากเจ็บวันไหน ผู้ชายคนนี้จะคงรอเธออยู่ที่เดิม......................"

                "........................รอเธอกลับมา......................แม้ตอนนั้นเราจะเป็นเพียงแค่เพื่อนกัน"

                           "หากนั่นเป็นทางที่ต่ายเลือก บอลขอให้ต่ายโชคดี"

                        ไม่จำเป็นต้องจดจำบอลว่าเป็นคนที่ต่ายเคยรัก

                            ................แค่จดจำในสิ่งดีๆที่เรา 2 คนเคยทำ และสิ่งเหล่านั้นมันทำให้เรา "ผูกพันธ์" กัน

                              จดจำแค่ว่า เราเคยมีช่วงเวลาดีๆต่อกัน

          เอาไว้ให้เราหวนกลับมาคิดถึงช่วงเวลาดีๆนั้น

                                 ..................แค่ต่าย จดจำ "ช่วงเวลาเหล่า" นั้นไว้ก็พอแล้ว

                            แต่บอลจะจดจำต่าย ว่าเป็นคนรักของบอลตลอดไป............

        เพราะตั้งแต่บอลรู้จักกับต่าย.............หน้าที่ของบอลมีเพียงสิ่งเดียว

                                   นั่นคือ.............
     
             

"รักต่ายทุกลมหายใจ"

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

"ผู้ชายลัลล้า~" !?!

 
 เมื่อไม่นานมานี้ สาวคนสวย นามว่า "น้องจะแอม" (หรือแจม) เพิ่งจะมอบฉายาใหม่ สดๆร้อนๆ ให้กับผมว่า ผมเป็น "ผู้ชายลัลล้า~" !!!!


     แหม...ต้องขอขอบเตียง...เฮ้ย....ขอบใจน้อง จะแอม คนงามจริงๆนะครับ ที่อุตส่า ตั้ง ฉายา ให้ผมซะ เริ่ด หรู อลัง การ งานสร้างซะเหลือเกิน !!! ฮ่าฮ่าฮ่า


     ไม่รู้หรอกนะครับ แต่ว่า การที่คนๆหนึ่ง ตั้งฉายาให้กับเรานั่นหมายความว่า เราต้องเป็นคนที่อยู่ในสายตาเขาตลอด (ไม่ว่าจะแง่ดี หรือ แง่ไม่ดี ก็ตาม)


     ว่าง่ายๆ คือ "ยังเห็นหัว" กันอยู่นั่นเอง


     เพราะงั้น ไม่ว่าฉายาอะไรก็เอามาเหอะครับ ผมเต็มใจรับไว้ด้วยความจริงใจเช่นกัน


     มาว่ากันต่อที่ ผู้ชายลัลล้า  บอกตามจริงเรียนตามตรงนะครับ ว่าผมเองก็ได้ยินคำว่า ผู้ชายลัลล้า มานานสักพักแล้ว แต่ไม่เคยรู้ความหมายที่แท้จริงของ คำๆนี้เลยสักครั้ง


     ครั้นที่คิดจะถามเพื่อน ก็กลัวเหลือเกินครับว่าเพื่อนมันจะตอกผมกลับมาว่า "ไอ้โง่.....มรึงนี่ โครตโบราณแมนเลยว่ะ!!" เพราะคำว่าผู้ชายลัลล้าเดี๋ยวนี้ ไปที่ไหน ใครๆก็ย่อมรู้จักความหมายของมันอยู่แล้ว


     เนื่องจากไม่อยากถูกกล่าวหาว่า "ตกยุค" และ ไม่อยากจะกระโดดถีบหน้าเพื่อน (คนที่ตอบ) ผมก็เลยไม่คิดจะหาความหมายของคำว่า "ผู้ชายลัลล้า" เลยสักครั้ง ปล่อยให้มันเลยตามเลยไปดีกว่า โดยที่เวลาเพื่อนๆเขาพูดกัน ผมก็แกล้งทำเนียนเหมือนจะรู้ความหมายไว้ซะก่อน (จะได้ไม่เสียหน้า)


     จนล่าสุดผมเพิ่ง (จะ) คิดได้ว่า "ทำไมกรูถึงไม่หาความหมายทางโลกไร้พรมหแดนอย่าง อินเตอร์เน็ตวะ?" (หลังจากที่โง่มานาน)



     ว่าแล้วผมก็เลยไปหา "ความหมาย" ของคำว่า ผู้ชายลัลล้า จากอินเตอร์เน็ตมา และเหล่านี้คือคำตอบที่ปมได้จากโลกที่ไร้พรมหแดนครับ

     ...............................................................
      "อืมม์...น่าจะหมายถึงผู้ชายที่สนุกสนาน ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ซีเรียสอะไร คือคล้ายๆกับเจ้าสำราญ อะไรประมาณนี้รึเปล่าเอ่ย ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ"
    
     "ผู้ชายสบายใจ เริงร่ามั้ง"
     "ผู้ชายรักอิสระอะไรก็ได้ ชายก็ได้หญิงก็ดี เอิ๊กๆ"
     "น่าจะหมายถึง ผู้ชายที่เป็นเพลย์บอยแต่คำนี้มันเชยไปและ เลยใช้ลั่นล้าแทน 555+"

     "เป็นคำศัพท์ที่วัยรุ่น คิดและพูดกันขึ้นมาเอง ส่วนความหมายนั้น มีแต่ผู้เท่านั้นที่รู้"

     "ผู้ชายที่เอาตัวรอกจากสถานะการณ์ที่ต้องสลับรางเก่ง เจ้าชู้ไก่แจ้"

     "ผู้ชายรักสนุก ที่ใช้ชีวิตวันๆไปกับการ จีบสาวๆสวยๆ นั่นเราเรียกพวกเขาว่าผู้ชายลัลล้า (ผู้หญิงลัลล้าก็มีด้วยเหมือนกันนะครับ)"


     ..............................................................

     เหล่านี้คือบางส่วนจากการแสดงว่าเห็นของเหล่าวัยรุ่นมั้ง ไม่รุ่นมั้ง บนโลกอินเตอร์เน็ต กับการให้ความหมายของผู้ชายลัลล้า


     คำตอบที่ได้อาจจะไม่เหมือนกันแบบ "เป๊ะๆ" แต่ที่รู้อย่างหนึ่งคือ ความหมายของคนส่วนมาก สำหรับผู้ชายลัลล้า ก็คือ "คนเจ้าชู้" นั่นเอง

    
     แต่อาจจะเป็นเพราะ สมัยและค่านิยม เลยทำให้คนสมัยนี้เปลี่ยนจากเรียก "คนเจ้าชู้" มาเป็น "ผู้ชายลัลล้า~" ซะแทน


     สำหรับผมตอนนี้ ผมให้ความหมายของผู้ชายลัลล้า (จากการสำรวจความหมายของคนอื่น) เอาเองว่า ผู้ชายลัลล้า หมายถึง ผู้ชายที่ เอาตัวรอดเก่ง ช่างพูดช่างจา ไม่ว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น ก็จะใช้ความอารมส์ดีของตัวเองแก้ไขสถานะการณ์แย่ๆนั้นให้คลี่คลายได้ และที่สำคัญคือ ผู้ชายพวกนี้ต้องเป็นคนเจ้าชู้พอสมควร (บางคนให้ความหมายผู้ชายลัลล้าว่าเป็นพวก 2 ซิม คือหญิงก็ได้ ชายก็ดี ฮ่าฮ่าฮ่า)


     แหม....มาถึงตอนนี้ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีนะครับ กับ ฉายาที่ น้องจะแอม หรือ น้องแจม คนงาม (คนในรูปข้างบน) ตั้งให้ผม แต่อย่างที่บอก ผมยินดีรับฉายานี้ไว้นะครับ และขอขอบคุณมากครับ ที่ตั้งฉายานี้ให้ผม


     มาถึงตอนนี้ผมมีฉายามากเหลือเกิน ที่คนรอบๆข้างของผม ชอบตั้งให้


     ตัวอย่างเช่น

     "ใหญ่แต่ตัว"

     "กระเทยขั้นเทพ"

     "ภัทรวย หัว คะ"

     "โกกุ้ง-ดำ" (อันนี้เด็ดสุด)

     "Fucking Guy"

     "อ้วนดำ"

     "บอลโบ้"

     "ควายตัวพ่อ"

     "บอล...เฟือน"

     "ซกมกแอบจิตร" (อันนี้น้องจะแอมก็ตั้งให้)

     ล่าสุดกับ "ผู้ชายลัลล้า~"

     แหม.....แต่ล่ะฉายานี่ บ่งบอกว่าผมเป็นคนไม่ได้ความซะเหลือเกินนะครับ ทั้งๆที่ตัวจริง ออกจะน่ารัก น่าเอ็นดู ถะนุถะนอม และ น่าถูกกระทืบ จะตายไป ฮ่าฮ่าฮ่า


     แต่เอาเถอะครับ ฉายาแต่ละฉายา ถือว่าเป็นความเป็นห่วงเป็นใยจาก เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ก็แล้วกัน จะตั้งให้ผมอีก ผมก็ไม่ว่าหรอกครับ ยิ่งชอบด้วยซ้ำไป ฮ่าฮ่าฮ่า


     แต่ตอนนี้ผมรู้อะไรอย่างหนึ่งจากปากคำของเพื่อนผมด้วยที่ล่าสุดเพิ่งจะบอกผมผ่านทางจดหมายไฟฟ้าอย่าง  "อีแมว" (E- Mail) ด้วยล่ะครับ


     มันจริงรึเปล่าผมไม่รู้? แต่มันบอกผมว่า



"ผู้ชายลัลล้าน่ะ เขาสงวนให้ใช้กับคนหน้าตาดีเท่านั้นนะโว้ย" ฮ่าฮ่าฮ่า"

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

ผ่านกาลเวลา... ไม่ได้หมายความว่า "ความรัก" คุณจะดีขึ้น!?!


"ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ความรัก"


อยู่ๆเพื่อนผมคนหนึ่งมันพูดขึ้นมาในระหว่างที่ พวกเราเหล่าผู้ชาย (หน้าตาดี) กำลังนั่งตั้งวงสนทนา นินทาแฟน ของแต่ล่ะคนกันอยู่


เอ่อ...ที่จริง เขาต้องพูดว่า "ระยะทางพิสูทน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" มิใช่เหรอครับ? แต่เพื่อนผมมันเปลี่ยนจาก "คน" มาเป็น "ความรัก" ซะอย่างนั้น


สงสัยตอนเรียนมา ครูมันคงจะสอนมาแบบผิดๆ จึงทำให้เพื่อนผมคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้าง "ดักดาน" เหลือเกิน หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า "ฉลาดกว่าควายเล็กน้อย" จนลืมไปไว้ปรกติเขาใช้คำว่า "คน" ไม่ใช่ "ความรัก" (เพราะเหตนี้ไงมันเลยเป็นเพื่อนผม เพราะเขาเคยบอกว่า คนโง่ย่อมดึงดูดคนโง่ ฮ่าฮ่าฮ่า)


เอาเถอะครับ ถึงมันจะพูดผิดไปบ้าง แต่สิ่งที่มันพูดก็ถือว่า เป็นที่ "ถูกต้อง" พอสมควร


ครับ.....คนเรานั้นบางที อาจจะต้องผ่านมาหลาย "สถานะ" กับคนคนหนึ่งก่อน จึงจะเรียก คนๆนั้นว่าเป็น "คนรัก" ได้


มันมักจะเริ่มต้นจาก "คนรู้จัก" กลายมาเป็น "เพื่อน" จนพัฒนามาเป็น "คนรู้ใจ" หรือบางคนอาจจะผ่านสถานะมามากกว่า 3 สถานะนี้กว่าจะได้เป็นแฟน


ลองสังเกตดูนะครับ หากเราเริ่มการจีบใครสักคนหนึ่งเป็น "แฟน" ในทันที โดยที่ไม่ผ่านสถานะอะไรมาก่อนเลย ความรักนั้นมักจะไม่ยืนยาว เพราะอะไรๆที่คนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า "สันดาน" มันจะค่อยๆออกมาทีละนิด ทีละนิด จนเราค่อยๆเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ


จนในที่สุด มันก็ทำให้คนๆนึงจากที่เคยรักกัน มันก็ต้องมาทนอยู่เพราะต่างฝ่ายต่างไม่เคยศึกษากันและกันให้ดีกันมาก่อน


แต่ว่าไม่ใช่ทุกคู่หรอกนะครับที่เป็นอย่างที่กล่าวมา เพราะบางคู่ที่เริ่มต้น "ความสัมพันธ์" กันรวดเร็วแบบนี้ ก็มีไปถึงฝั่งฝันของชีวิตเหมือนกัน  แต่ว่ามันมีเพียงน้อยนิดเท่านั้นล่ะครับ ที่จะเป็นแบบนี้ (ผมเดาเอาเองนะครับ)


ความรักที่ดีควรเริ่มต้นจากการที่ คน 2 คนศึกษากันให้รู้ลึกถึงอีกฝ่ายหนึ่งซะก่อน และเมื่อถึงเวลาที่สมควรก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงสถานะขึ้นไปที่ละน้อยๆจนในที่สุกก็กลายไปเป็นคนรักกัน


ความรักที่เกิดจาก "ความเข้าใจ" เพราะต่างคนต่างได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันมานานมากพอแล้วก่อนที่จะเรียกอีกฝ่ายหนึ่งว่า "คู่ชีวิต" ได้ นั่นถือเป็นความรักที่ มีความสุขที่สุด ในสายตาของผมนะครับ (และผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงคิดเช่นเดียวกันกับผม)


แต่อย่าคบเป็นเพื่อนให้มันนานไปนะครับ เพราะเดี๋ยว "หมาจะคาบไปแด๊กส์" ซะก่อน ฮ่าฮ่าฮ่า


แต่.....ในทางกลับกัน มันก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่ ครองรักกันมานานๆแล้ว จะต้องมีความั่นคงในเรื่องของความรักนะครับ มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน


คนเราบางทีพอเริ่มรักใครสักคนแล้ว ก็จะรักคนๆนั้นมากจนลืมคิดถึงอะไรบางอย่างที่เรียกว่า "ความสุข" ไป


หลังจากเป็นแฟนกันใหม่ๆ บางทีนิสัยที่ไม่ดีๆของเขาที่เรารู้มาตั้งแต่ตอนที่ยีงเป็นเพื่อนกันอยู่นั้นอาจจะทำให้เราแค่รู้สึก "เฉยๆ" ในตอนแรกๆ จนเวลาผ่านไป หากคนเดิมยังคงที่จะไม่เปลี่ยแปลงนิสัยเสียแบบเดิมๆ มันก็อาจจะทำให้เรารู้สึก "เบื่อ" และหากยังคงทนต่อไปอีกโดยที่ คนๆเดิมยังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง มันก็อาจจะทำให้เรา"ไม่มีความสุข" ก็ได้นะครับ ที่ต้องมาทนอยู่กับคนที่ไม่รู้จักโต


ก่อนในท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะกลายมาเป็น "ระเบิดเวลา" ที่รอ "เวลาระเบิด" ภายในครั้งเดียวนั่นเอง นั่นจึงทำให้บางคู่ที่แม่คบกันมานานแล้วแต่ก็ยังมีอันต้องเลิกรากันไป


คนเราบางทีควรจะรู้ตัวเองนะครับว่าอันไหควรอันไหนไม่ควร หากแต่คนรอบข้างตักเตือนแล้วตักเตือนเล่าก็ยังคงไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง แบบนั้นก็คงไม่มีใครทนได้หรอกครับ ต่อให้ รัก ขนาดไหนก็ตาม แต่มนุษย์เราก็มีขีดจำกัดของความอกทนเหมือนกัน


คนฝั่งที่ทนก็จะคิดว่า ตัวเองรักเขา ต้องทนนิสัยที่แย่ๆของเขาได้ และเชื่อว่า สักวันความรักที่มีให้เขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง โดยที่หารู้ไม่ว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่คนฝั่งที่ทำตัวไม่ดีนั้นจะรู้สำนึก ว่านิสัยที่ไม่ดีของเขานั้น ทำให้คนรักเขารับไม่ได้ (ก็ในเมื่อคุณทนอยู่อย่างเดียวโดยทีไม่เคยตักเตือนเขาเลย)หรือต่อให้ตักเตือนแล้วแต่เขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเพราะคิดว่า ยังไงซะ คุณรักเขา


ครับ  คุณรักเขา คุณอาจจะทนได้ในตอนนี้ แต่คุณจะทนได้นานสักเท่าไหร่ และ ถ้าหากแต่งงานกันไป แล้วคุณยังต้องทนกับนิสัยแย่ๆที่เขาไม่เคยคิดจะปรับปรุง คุณคิดหรือว่าถึงตอนนั้นคุณยังคงทนเขาได้อีกหรือไม่?


หรือถ้าทนได้คุณคิดหรือว่า คุณจะมีความสุขแบบที่คุณควรจะได้รับ?


"ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ความรัก"


ใช่ครับ


กาลเวลาจะพิสูจน์ความรักว่าความรักนั้นจะเป็นอย่างไร


บางคู่คบกันไม่ถึงอาทิตย์ก็เป็นคู่ชีวิตกันได้แล้ว  แต่บางคู่ต่อให้คบกันมาเป็นสิบๆปีก็เลิกกันได้เช่นกัน


แค่ถามตัวเองทุกครั้งว่าคุณมีความสุขกับรักครั้งนี้รึเปล่า? .....หรือถ้ายัง (ทน) อยู่กับรักครั้งนี้ต่อไปมันจะมีความสุข หรืออะไรดีขึ้นมั๊ย?


ถามตัวเองอยู่เสมอๆกับคำถามเหล่านี้ไม่ว่าความรักของคุณจะผ่านมากี่ปีกี่เดือนแล้วก็ตาม เพราะกาลเวลาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้เสมอ แล้วทำไมเวลาจะเปลี่ยนแปลงความรักที่มันขึ้นอยู่กับแค่ "คน 2 คน"ไม่ได้


ตอนนี้ผมก็กำลังทนอยู่เหมือนกัน....ใครที่สนทสนมกับผมคงจะรู้กันดีว่า ตอนนี้ผมคบกับ แฟน คนปัจจุบัน มา 7 ปีแล้ว และ คงจะรู้ดีว่าแฟนคนเขาเป็นคนนิสัยอย่างไร (ถึงจะไม่รู้ละเอียดเท่าผมก็เถอะ)


7ปี เหมือนมันจะนานนะครับ แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าผมมหมดความอดทน ..... พรุ่งนี้แฟนผมเธออาจจะปรับปรุงตัวในเรื่องที่เธอเคยแย่มาตลอดก็ได้ครับ เช่นเดียวกันกับผมที่อาจจะปรับปรุงตัวในเรื่องที่ผมเคยแย่ตลอดมาเช่นเดียวกัน


ความรักมันไม่มีอะไรตายตัวหรอกครับ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา


บางคู่อาจจะทะเลาะกันมาตลอกเวลาที่อยู่ร่วมกัน  แต่ก็มีความสุขและอยู่ร่วมกันต่อไปได้จนถึงบั้นปลายของชีวิต เพราะต่างฝ่ายต่างยอมที่จะปรับปรุงตัวเข้าหากันและกัน  ไม่ใช่ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายเข้ามาหา และอีกฝ่ายคอยแต่จะเดินถอยหลังหนีตลอด


แต่บางคู่อาจจะคบกันมาเป็นสิบๆปีพร้อมความรักที่มั่นคง แต่บางทีพรุ่งนี้คุณอาจจะเบื่อและเริ่มรู้สึกอยากจะเริ่มใหม่กับใครสักคนที่ ดูแล เข้าใจ และปรับปรุงตัวเพื่อคุณได้ ไม่ใช่คนๆเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยแปลงอะไรไปในทางที่ดีขึ้นเลย


ถามตัวเองดูนะครับว่า ความรักของคุณทุกววันนี้ มัน "ทนอยู่" หรือ "อยู่ทน" !?!