วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กรุงเทพฯ น่าอยู่ตรงไหนวะ!!??!!

   
     วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ผมได้วางตูดตัวเองบนเบาะนุ่มๆ ที่เปื้อนไปด้วย "ไรฝุ่น" ที่ทางการรถไฟได้จัดเตรียมให้ผม โดยการแลกกับ "ความฉิบหายในกระเป๋าสะตางค์" ของผมเป็นจำนวน 500 บาท

     ครับ ผมกำลังจะเดินทางมาเที่ยว "เมืองแ่ห่ง ศิวิลัย นครที่ครึกครื้นตลอดทั้งคืนและไม่เคยหลับไหล" (โดยเฉพาะ แถวๆ รัชดา อันนี้เพื่อนผมบอกมานะ) หรือที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า กรุงเทพมหานครฯ (กทม.) นั่นเอง

     บนรถไฟที่คนบ้านๆแถวๆนี้เรียกกันง่ายๆว่า "ชั้นนอนพัดลม" แต่ผมขอเรียกชั้นนี้ว่าเส้นแบ่งเขตแดนระหว่าง "นรก กับ สวรรค์" เพราะมันอยู่ติดกับห้องนอนแอร์ที่ถือเป็นสวรรค์ โดยหากเราเดินออกมาจากห้องนอนแอร์มาที่ตู้ที่ผมโดยสาร มันก็จะกลายเป็นนรกทันที เพราะทั้ง "การบริการ" และ "ความสะอาดสะอ้าน" แตกต่างกันราว "นางแบบสุดสวย กะ ไอขี้เหร่หน้าปากซอย" อย่างไงอย่างงั้น ฮ่าฮ่า

     ผมใช้เวลาบนรถไฟไปทั้งสิ้นประมาณ "16 ชั่วโมงเหลือๆ!?!"

     ขอย้ำว่า 16 ชั่วโมงนะครับ 16ชั่วโมง ซึ่งหากท่านไม่เคยรู้จักความ "ทรมานกับการรอคอย" อย่างแท้จริง ขอแนะนำให้ท่านลองขึ้นไปนั่งรถไฟในชั้นที่ผมขอขนานนามว่า "ชั้นนรกแตก" แล้วท่านจะยิ่งรู้สึกว่ามันทรมานเพียงไร (อนึ่ง "ชั้นนรกแตก" คือชั้นที่สามารถนั่งได้อย่างเดียว ไม่สามารถนอนได้ เพราะราคาตั๋วมันเพียงแค่ 200 กว่าบาทเท่านั้น)

     และผมไม่ได้ใช้เวลา 16 ชั่วโมงบนรถไฟไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะผมได้ "หวนระลึกถึง" ครั้งที่ผมได้ขึ้นมา "เมืองหลวงแห่งสยามประเทศ" แห่งนี้เป็นครั้งแรกโดยได้โดยสาร "ชั้นนรกแตก" มานั่นแหล่ะครับ

     ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งกระโน้น ผมมากับเพื่อนๆ 5 คน ซึ่งมีใครบ้างนั้น ไม่ต้องไปสนใจให้มันเมื่อยสมองหรอกครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าใจในฐานะ "บ้านนอกเข้ากรุงฯ" และเป็นคำถามแรกที่ผมถามตัวเองนั่นคือ "กรุงเทพฯน่าอยู่ตรงไหนวะ?"

     ครับ เมืองที่เต็มไปด้วยรถที่แสนจะแออัด บวกกับผู้คนที่ไม่ค่อยจะผูกมิตรกันเท่าไหร่เหมือนต่างจังหวัด และบางทีคุณอาจจะเห็น "สไตล์การแต่งตัว" ที่อาจจะหลุดโลกจากเหล่าวัยรุ่นในสมายประเทศ พลาง "หัวเราะ" กับการแต่งตัวนั้น โดยหารู้ไม่ว่าตัวคุณเองนั่นแหล่ะที่เป็นคน "เชยระเบิด นาปามล์" เพราะเด็กเมืองหลวงเขาตามกระแสไปไหนถึงไหนแล้ว แต่เรายังมัวงมโข่งอยู่กับแค่ "กุงเกงยีนส์กับเสื้อยืดเก่าๆ" อยู่เลย

     แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังคงต้องทนอยู่ในเมืองหลวงต่อไป เพราะจำเป็นต้องทำหน้าที่ของลูกที่ดีนั่นคือ "การหลอกเงินพ่อแม่มา 500 บาทเพื่อเอาไปเรียน 250 บาท และเอาไปเที่ยวอีก 250 บาท" ฮ่าฮ่า

     ไอ้ตอนแรกก็เรียนได้ดีอยู่หรอกครับ มีแววว่าจะจบเร็วซะด้วย แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตการณ์ที่คนทุกคนอยากจะให้เกิดกับตัวเองนั่นคือ "ถูกความรักพุ่งเข้าใส่" ตัวเอง ซะอย่างนั้น

     เรียกง่ายๆก็คือ ผมมีแฟนนั่นแหล่ะครับ

     ถามว่าอยากได้แฟนมั๊ย แน่นอนผมตอบตัวเองว่าอยากได้ และแฟนที่ผมได้ก็ "สวย เซ้ง กระเด๊ะ" ซะด้วยน่ะสิครับ (แต่ไหงพอคบกันมา6ปีเธอกลับกลายเป็นแม่หมูไปซะได้ก็มิอาจทราบ ฮ่าฮ่า)

     แต่ว่า......ผมดันมามีแฟนในช่วงที่ "ผิดที่ผิดเวลา" ไปสักหน่อย นั่นแหล่ะ ปัญหามันเลยเกิดตามมาเป็นกระบุงโกย

     ครับ เพราะการที่ผมมี "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแฟน" เข้ามาในชีวิต ซึ่งทำให้ผมในตอนนั้นที่ทั้ง "ยังเด็กและอ่อนต่อโลกภายนอก" ไม่เป็นอันเรียนกันเลยทีเดียว ว่าแล้วผมก็ออกมา มหาลัย ที่ได้สังกัดในตอนนั้นเพื่อเพียงแค่จะมา "เที่ยว เล่น และ .... " กับแฟนผมไปวันๆ

     ผมไม่ได้เรียนทั้งๆที่ผมเป็นคนที่ไม่โง่ขนาดความยังเรียกพ่อ แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตแบบ "คนไร้อนาคต" และเสียเวลากับ แฟนคนนั้นไปเกือบตั้ง 7 ปี (น้องๆไม่ควรเอาเป็นแบบอย่้างนะครับ) จนสุดท้ายผมก็ต้องเลิกกับคนๆนั้น

     ถึงทุกวันนี้ผมก็ยังย้อนกลับมาถามตัวเองว่า "กรุ่งเทพฯ น่าอยู่ตรงไหนวะ?" เหมือนเคย เพราะความทรงจำที่แสนเลวร้ายครั้งเก่าก่อนยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่เสมอๆ

     แต่ถึงหยั่งงั้นก็เหอะ ผมก็ยังคงอยากจะขึ้นมาที่ กทม. ในฐานะ "นักท่องเที่ยว" และเพื่อมาหา คนหนึ่งคนที่ผมอยากจะเรียกเเธอว่า "แฟน" (และเช่นเกียวกัน ผมอยากเธอเรียกผมว่า "แฟน" เหมือนกัน)
   
     ..........

     ..................

     ผมลงจากรถไฟตอนประมาณ ตี5 ของวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ที่ "สถานีชุมทางบางซื่อ" และถามตัวเองอีกครั้งว่า "กรุงเทพน่าอยู่ตรงไหนวะ?"

     ด้วยสภาวะที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และ ความคิดที่เริ่มจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ผม (อยากจะ) ได้คำตอบว่า



 กรุงเพทฯ น่าอยู่เพราะคนๆนั้นที่ผมอยากจะเรียก และ อยากให้เธอเรียกผมว่า "แฟน" นั่นแหล่ะครับ


ขอให้สิ่งที่ผมหวังเป็นจริงด้วยนะครับ : )




1 ความคิดเห็น: