วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ว่ากันด้วยเรื่องของ "คำด่า" (18+)


     วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรนะครับ ผมอยากจะเขียนถึงอะไรที่มัน "สถุลๆ" สักหน่อย (ถึงปรกติผมจะสถุลอยู่หน่อยๆแล้วก็ตามแต่ใันตอนนี้จะมากกว่าเดิม) เพราะอย่างนั้น บทความของผมบทความนี้จึงจะมาพูดถึง "การด่า" และ "คำหยาบ" ในภาษาไทยครับ

     น่าแปลกเหมือนกันนะครับแต่ผมคิดเอาเองว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีคำที่ใช้แทนตัวเองและแทนบุลคนอื่นอย่างหลากหลายรูปแบบซะเหลือเกิน

     ยกตัวอย่างเช่น.....
    
     ถ้าเป็นคนไม่ค่อยสนิทกันจะเรียกแทนตัวว่า "ผม" หรือ "ดิฉัน" แล้วเรียกอีกฝ่ายว่า "คุณ" หรือ "ท่าน"

     แต่พอได้ลองคบกันไปๆมาๆ สนิทจนได้ที่สันดานก็เริ่มออก ก็เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกแทนตัวเองมาเป็น "กู" และเรียกอีกฝ่ายว่า "มึง" ซะอย่างนั้น!?!

     ถ้าสนิทมากๆหน่อยก็อาจจะเรียก "ไอเหี้ย" เป็นกรณีพิเศษเพิ่มเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้ถูกเรียกอีกด้วยนะครับ ฮ่าฮ่า

     ทุกวันนี้ก็เช่นกันหากผมได้มีโอกาสพบเจอหรือพบปะกับเพื่อนฝูงที่สนิทระดับ "สนิทบรรลัยกัลย์" ทั้งแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับ แทนที่พวกเขา (รวมถึงตัวของผมเอง) จะเรียกชื่ออีกฝ่ายดีๆ เรากลับไปเรียกชื่อ พ่อชื่อแม่ ของอีกฝ่ายแทนซะอย่างนั้น

     สงสัยพอเห็นหน้าของผมพวกพี่แกคงจะคิดถึงพ่อผมขึ้นมาตะหงิดๆ เลยเอ่อชื่อพ่อผมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความ "เคารพ" และ "คารวะ"

     ลำพังเพียงแค่ออกมาแต่ชื่ออย่างเดียวมันก็หนักหนาพอใช้ได้แล้วนะครับ แต่นี่มันดันมี "ไอ้" นำหน้าชื่อพ่อผมมาก่อนน่ะสิครับ มันเลยยิ่งหนักกว่าเดิมอีก

     ผมเลยมักจะสวนกลับพวกเพื่อนๆผมไปบ่อยๆว่า "เรียกหาพ่องมึงเหรอ?" ฮ่าฮ่า

     สมัยเด็กๆผมยังจำได้ดีอยู่เลยครับว่า มีเพื่อนผมคนหนึ่งมันโมโหเรื่องห่าอะไรมาก็มิทราบ แต่เมื่อเดินมาเห็นผม มันก็มาตะคอกใส่หน้าผมด้วยน้ำเสียงราวกับนักร้อง "ฮาร์ดคอร์" ว่า "...แม่ง" ซะเฉยๆ

     ก่อนที่ผมทำหน้าเสล่อก่อนจะเล่นมุกกลับไปมัน ซะอย่างนั้นว่า "เออ....พ่อกูเจ้าชู้ เลยมีแม่ 7 คน มึงเลยมาว่ากูว่ามี 'เจ็ดแม่ง' ใช่มั๊ย?"ฮ่าฮ่า

     และคงจะเหมือนอย่างที่คนโบราณเขาบอกไว้ครับว่า ภาษาไทยเป็นภาษษที่ "ดิ้น" ได้เหมือนกับ ปลาดุกที่ถูกตีหัวแล้วยังไม่ตายในตลาดสดแถวๆลาดพร้าว

     ว่าแล้ว คำด่าในยุคนี้จึงถูกแปรสภาพ ให้มันเป็น คำด่าที่ดููดีมีค่านิยม ให้ทันสมัยขึ้นมาซะอย่างนั้น

     เช่นคำว่า "ไอ้เหี้ย" ที่เพื่อนๆผมใช้เรียกตัวผมแทนชื่อของผมเป็นประจำ เดี๋ยวนี้ เพื่อนๆผมบางคน มันกลับมาพูดว่า "ไอ้เควี่ย" แทนซะอย่างนั้น

     ยังมีอีกนะครับ บ้างก็ใช้ว่า "ไอ้เชี่ย" บ้างก็ใช้ว่า "ไอเฟี่ย" ก็มี (โดยที่พวกมึงคงไม่รู้ว่าคำที่มันเจ็บและเด็ดดวงที่สุดก็ยังคงเป็นคำว่า "ไอ้เหี้ย" อยู่ดีนั่นแหล่ะ)

     อีกคำหนึ่งครับ "ไอ้สัตว์" คำนี้ก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายกับ บุคคล ซึ่งเป็นที่ "เกลียดขี้หน้า" ของคนที่กล่าว แต่เดี๋ยวนี้คำๆนี้มันถูกแปรสภาพมาเป็น "ไอ้สัส"  "ไอแสส" หรือบางที่แมร่ง พี่แกลากเสียงยาวๆ กลายเป็น "ไอ้แสรดดดดดดดด" ไปซะอย่างนั้นแหล่ะ!?!

     ในสมัยที่ผมกำลังทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองอยู่ที่เกาะสมุย ในอาชีพที่เรียกกันซะสวยหรูว่า "หัวหน้าบริกร" แต่ทั้งที่จริงๆแล้ว เรียกกันแบบบ้านๆว่า "เด็กเสิร์ฟ" ก็ได้ (ที่ผมได้เป็นหัวหน้าเพราะนอกเหนือจากผมแล้ว เด็กเสิร์ฟที่เหลือคนอื่นๆ ถ้าไม่เป็นลาว ก็เป็น พม่า หมดเลยน่ะสิครับ ฮ่าฮ่า)

     ก็มีลูกค้าคนหนึ่ง ซึ่งพี่แกอาจจะโมโหในอาหารที่อาจจะมีรสชาติแบบประมาณว่า "หมาไม่แด๊กส์" อยู่่ๆแกก็มาตะคอกใส่หน้าผมว่า "ฮวยบ่ข่วย" ซะอย่างนั้น!!!

     งงสิครับงานนี้ "ฮ่วยบ่ข่วย" ภาษาห่าเหวอะไรก็มิทราบ แต่ดูจาก ท่าทางกริยา จากการพูดแล้ว พี่แกคงจะไม่เรียกผมเข้าไปชมว่า "น้องหน้าตาดีมากๆเลยนะคะ" แน่นอน

     ก่อนผมจะมารู้ในภายหลังว่าคำว่า "ฮวยบ่ข่วย" คือการด่าแบบภาษาสุภาพที่ดัดแปลง มาจากคำว่า "หัวควย" อีกทีหนึ่งนั่นเองครับ ซึ่งพี่แกอธิบายว่าพอเปลี่ยนมา เป็นคำว่า "ฮวยบ่ข่วย" แล้ว มันฟังเสนาะหู และใช้ได้ทั่วถึง กับคนทุกรุ่นมากกว่า

     ผมนึกในใจคนเดียวเบาๆครับว่า "ตกลงที่มึงด่ากูเนี่ย มึงจะด่าให้กูเจ็บ หรือจะด่าให้กูตลกดีมิทราบ?" ฮ่าฮ่า

     หรืออีกกรณีหนึ่งครับ ผมซึ่งตอนนั้นยังอยู่ที่ เมืองหลวงของประเทศ (สถานที่ๆซึ่งน่าอยู่ที่สุด ไม่เคยมีการทะเลาะวิวาทย์ รถไท่เคยติด แถมคนยังมีน้ำใจต่อกันอีกต่างหาก) อย่าง กรุงเทพมหานครฯ

     ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวในห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่ง และด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอกเพิ่งเข้า กรุงฯ ผมเลยเดินดูอะไรเพลินไปหน่อย โดยไม่เห็นว่า ข้างหน้าผมกำลังจะมีชายหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารักน่ากระทืบเดินสวนมาพอดี

     ว่าแล้วผมกะน้องเขาก็เดินชนกันเข้าอย่างจังจนทั้ง 2 ฝ่ายเซไปคนล่ะทาง ก่อนที่ผมจะตั้งหลักได้ และเดินเข้าไปขอโทษ พร้อมกล่าวว่า "เป็นอะไรมากมั๊ยครับ?"

     "จ๊าดม่าง" นั่นคือคำแรกที่พี่แกพูดใส่หน้าผม ก่อนจะ เดินจากไปพร้อมกับเพื่อนๆของเขา

     "จ๊าดม่าง" เล่นเอาผมงงแด๊กเลยครับ อะไรของมึงมิทราบ? พูดอะไรของมึง หรือเดี๋ยวนี้ เด็กเมืองกรุงฯ เขามีภาษาสมัยใหม่ใช้กันแล้ว พอดีกับไอ้เราที่เผอิญ เพิ่งจะเข้ากรุงฯ ไม่นานเลยทำให้ไม่รู้ความหมายที่แท้จริง ดีไม่ดีไม่แน่ "จ๊าดม่าง" อาจจะเป็นภาษาของวัยรุ่น ซึ่งแปลเป็นไทยแบบเดิมๆได้ว่า "ขอโทษ" ก็ไเป็นด้ครับ เพราะแบบนั้นเลยทำให้ผมไม่คิดอะไรมาก

     แต่...เมื่อลองไปถามเพื่อนที่มาด้วยกัน (ซึ่งมันอยู่กรุงเทพฯมาก่อนผม) มันก็บอกความหมายที่แท้จริงของคำว่า จ๊าดม่าง ว่า มันแปลเป็นไทยแบบเดิมๆได้ว่า "เจ๊ดแม่ง" นั่นแหล่ะครับ

     แหมได้ยินดังนั้นแล้วผมอยากจะวิ่งกลับไปกระทืบน้องๆนักเรียนกลุ่มนั้นซะเหลือเกินนะครับ แต่ดันติดที่ว่า พวกน้องเขาดันมากันหลายตัว เอ้ย...หลายคน แทนที่จะได้กระทืบเขาอาจจะกลับกลายเป็นว่า พวกน้องเขาตบผมหัวทิ่มเอาซะเปล่าๆ ฮ่าฮ่า

     นี่แสดงให้เห็นอีกอย่างนะครับว่า เยาวชนไทย เป็น เยาวชนที่มีคุณภาพมากๆ เพราะทั้งๆที่ผมเิดินชนน้องเขาแบบไม่ได้ตั้งใจ น้องเขาก็มี "ปฏิกิริยา" โต้ตอบกลับมาเป็นอย่างดี และแสดงให้เห็นว่าพวกน้องๆเขาพร้อมทุกสถานการณ์ กับการ "มีเรื่อง" โดยไม่กลัวแต่อย่างใด

     แหม ช่างมีคุณภาพซะเหลือเกินนะครับ นี่ไงเขาถึงได้บอกว่า "คนไทยถ้าตั้งใจทำอะไรก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก" จริงๆ  ฮ่าฮ่า

     ภาษาบ้านเราเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เป็นห่าเหวอะไรกันหมดนะครับ ตอนออกจากปากคนนี้ก็เป้นอีกคำหนึ่ง แต่ออกจากปากอีกคนหนึ่งก็เป็นอีกคำหนึ่ง ทั้งๆที่ความหมายมัน ความหมายเดียวกันแท้ๆ

     แต่เอาเถอะครับ จะพูดจะด่าภาษาอะไรนั่นมันก็เรื่องของมึงกูไม่เกี่ยว แต่แค่อยากจะเตือนไว้หน่อยเท่านั้นแหล่ะครับ

     จะใช้ภาษาตามสมัยนิยมมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอกครับ มันเป็น "สิทธิส่วนบุคคล" ใครก็มิอาจจะห้ามคุณได้ และถ้าให้มันเป็นสมัยนิยมแบบพอดีๆบางทีภาษามันก็อาจจะฟังน่ารักไปอีกแบบก็ได้นะครับ

     หากใช้ภาษาที่มันแหวกแนว หลุดโลก หรือปัญญาอ่อนเกินไป กรุณาอย่านึกคิดนะครับว่าตัวเองจะ "โดดเด่น" หรือ "ทันสมัย"

     เพราะคงไม่มีใครหรอกครับที่พอได้ยินคนที่ใช้ภาษา "ต่างดาว" พูดกันแล้วจะรู้สึกชอบอกชอบใจ

     พวกเขาอาจจะยิ้ม แต่จริงๆในใจพวกเขาอาจจะกำลังคิดอยู่เช่นกันว่า


 "พวกมึงน่ะ บ้าไปแล้ว"





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น